“น้าสน” ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาสเพื่อรับฟังความคืบหน้าแนวทางดำนินงานเพื่อขับเคลื่อนผลักดันนโยบายพลังงานชุมชนจากพลังงานจังหวัด พร้อมแลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการไฟฟ้าพลังงานทดแทน และผู้ประกอบการธุรกิจปาล์มน้ำมัน-ไบโอดีเซล ในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อผลักดันนโยบาย Energy For All ให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงพลังงาน สามารถนำพลังงานไปหมุนเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน
วันนี้ 20 ม.ค.63 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงพลังงานลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อมอบนโยบายพลังงานชุมชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยมีการรายงานแนวทางการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนจากพลังงานจังหวัดนราธิวาส สงขลา ปัตตานี สตูล และยะลา และรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และผู้ประกอบการธุรกิจปาล์มน้ำมัน-ไบโอดีเซลในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ โดยมี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เขต 1 ผู้แทนจากองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาเทศบาล และสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟัง อย่างคับคั่ง
นายสนธิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประชาชนและผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชุมชน ให้การตอบรับในการลงพื้นที่ในครั้งนี้อย่างดีมาก เนื่องจากนโยบายของกระทรวงพลังงานได้ส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ถือเป็นการพลิกมิติด้านพลังงานครั้งสำคัญ ตอบโจทย์ประชาชนทุกพื้นที่ทั่วประเทศสามารถเป็นเข้าถึงพลังงานได้ โดยนอกจากจะมีส่วนช่วยยกระดับให้ชุมชนได้เป็นผู้ผลิต ผู้ใช้ และผู้จำหน่ายไฟได้เองแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาปากท้อง สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ลดการย้ายถิ่นฐาน สามารถเพิ่มการลงทุนในพื้นที่ได้อีก เช่น การปลูกพืชพลังงานเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
รวมทั้ง ลดปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 จากการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในที่โล่งแจ้ง ซึ่งในท้ายที่สุดทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจ และด้านสุขภาพ
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานยังมีนโยบายส่งเสริมไบโอดีเซล ซึ่งมาจากแนวคิดเรื่องการส่งเสริมการใช้น้ำมันบนดินที่มาจากผลผลิตทางการเกษตรปาล์มน้ำมันที่สามารถผลิตได้ในประเทศ ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทยในการมีส่วนช่วยลดการพึ่งพานำเข้าปิโตรเลียม และยังช่วยสร้างเสถียรภาพราคาผลผลิตทางการเกษตรให้กับพี่น้องเกษตรกรอีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าการผลักดันเพิ่มสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลให้เป็น B10 น้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศนั้นได้เดินมาถูกทาง ทำให้ราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันปัจจุบันขยับขึ้นไปถึง 7 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว จนกลายเป็นความกังวลจะเกิดการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) จากต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการบริหารจัดการผลผลิตปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ผลิตไบโอดีเซลและเพื่อใช้บริโภค ป้องกันการลักลอบนำเข้า โดยจะมีการติดตั้งมิเตอร์ที่ถังเก็บ CPO ที่โรงสกัดสำหรับปาล์มบริโภค และติดตั้งมิเตอร์ที่ถังเก็บสต็อกน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 100% สำหรับไบโอดีเซล
สำหรับนโยบายผลักดันให้ B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศ จะมีการจำหน่าย B10 ได้ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งหากผลักดันการใช้ B10 สำเร็จก็จะทำให้การใช้ไบโอดีเซล (B100) เพิ่มขึ้น 2.1 ล้านลิตรต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 40% จากปัจจุบัน เปรียบเทียบจากการการใช้ B100 ประมาณ 5.6 ล้านลิตรต่อวันในเดือนธันวาคม 2562 เพิ่มเป็น 7 ล้านลิตรต่อวัน ในปี 2563 โดยที่เป้าหมายการใช้ B10 อยู่ที่ 57 ล้านลิตรต่อวันภายในปี 2563
“ขอให้มั่นใจได้ว่า กระทรวงพลังงานมีแนวทางในการดำเนินการที่ชัดเจนทั้งเรื่องโรงไฟฟ้าชุมชนและการส่งเสริมไบโอดีเซล โดยพร้อมจะให้การสนับสนุนให้กับผู้ประกอบการ และชุมชนที่มีความพร้อมเข้าลงทุนเพื่อจะได้มีส่วนช่วยในการสร้างให้การลงทุนใหม่เกิดขึ้นได้ โดยเป้าหมายสำคัญคือ สร้างประโยชน์สูงสุดให้กับชุมชน ซึ่งกระทรวงพลังงานถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของนโยบายและโครงการนี้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวทิ้งทาย