เหตุการณ์หน่วยทหารพราน บุกขึ้นไปบนเขาตะเวอ.ระแวะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม และได้ยิงชาวบ้านเสียชีวิต 3 ราย ขณะขึ้นำปตัดไม้ อ้างว่า เป็นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ และไม่ยอมให้ชาวบ้านขึ้นไปนำศพลงมา ต้องใช้เวลา 35 ชม.จึงสามารถนำศพลงมาประกอบพิธีทางศาสนาได้
เป็น 35 ชม. กับ การรอศพ เพื่อนำมาทำพิธิทางศาสนา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครอบครัว ผู้ตายทั้ง 3 ยืนยัน พวกเขาไม่ใช่คนร้ายและปืนไม่ใช่ของผู้ตายแน่นอน
ลำดับเหตุการณ์ วันที่ 16 ธันวาคม 2562
เวลา 10.00 น. ชาวบ้านในพื้นที่ ได้ยินเสียงปืน
เวลา 11.00 น. มีชาวบ้าน 3 คนที่รอดชีวิตวิ่งกลับมาในหมู่บ้าน นำความจริงมาบอกชาวบ้าน
เวลา 15.00 น. ชาวบ้านจะขึ้นไปตามอีก 3 คน
เวลา 16.00 น. ชาวบ้านประสานไปยังหน่วยทหารพรานเฉพาะกิจที่ 45
เวลา 17.00 น. หน่วยทหารพราน ฉก.45 นำชาวบ้านพร้อมชรบ.6คน ขึ้นไปยังที่เกิดเหตุ แต่ไปครึ่งทางแล้วต้องกลับมาเพราะ ทหารบนเขาตะเว ไม่ยอมให้ขึ้น ไป
เวลา 18.00 น.เริ่มมีข่าวออกว่า มีการ ปะทะ คนร้ายตาย 3 หนีได้อีก 6 คน
เวลา 17.00 น. ชาวบ้านเริ่มโวยวาย เพราะคนตายไม่ใช่คนร้าย เป็นชาวบ้านที่จึ้นไปตัดไม้
วันที่ 17 ธันวาคม 2562
เวลา 10.00 น. ญาติผู้ตาย 3 คนพร้อม เจ้าหน้าที่ขึ้นไปบนเขาตะเว
เวลา 12.00 น.ชาวบ้านกว่า 100 คนที่รอหน้าปากทางขึ้นเขาได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่ขึ้นเขา ว่าถึงที่ศพ เสียชีวิตแล้ว
เวลา 15.00 น. ศพ ถูกลำเลียงถึง ร.พ.ระแงะ
เวลา 18.00 น.มีการนำศพ ถึงบ้าน
เวลา 20.00 น. ญาติๆผู้ตายและชาวบ้านร่วมทำพิธีทางศาสนา
ใช้เวลา 35 ชั่วโมง
มีรายงานว่า ทหารได้จับชาวบ้านปนั่งคุกเข่า (ตามภาพที่เห็นตอนเสียชีวิต) และยิงหัวทีละคน แม้จะรู้ว่า เป็นชาวบ้านที่ขึ้นไปตัดไม้ ไม่มีอาวุธ
แถลงการณ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า
เรื่อง ข้อเท็จจริงเหตุยิงราษฎรเสียชีวิต ๓ คน
บนเขาตะเว ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า ออกแถลงการณ์ ระบุว่า จากกรณีเจ้าหน้าที่ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ ๔๕ ได้ปะทะกับกลุ่มบุคคลไม่ทราบฝ่ายเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ๓ คน เหตุเกิดเมื่อ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๒ บนเทือกเขาตะเว ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส นั้น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า ขอชี้แจงให้ทราบดังนี้
ในนามของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวและญาติของผู้เสียชีวิตทั้ง ๓ ราย ที่เสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐโดยขอยืนยันว่าจะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ด้วยความโปร่งใสและพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ แม้เบื้องต้นพบว่าเป็นการสำคัญผิด
ของเจ้าหน้าที่ #อย่างไรก็ตามหากภายหลังพบว่าเจ้าหน้าที่กระทำความผิดด้วยความจงใจ
#ก็จะดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญาทหารขั้นสูงสุดโดยไม่มีข้อยกเว้น
#จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเบื้องต้นพบว่า #การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเป็นการขยายผลจากเหตุปะทะกับกลุ่มคนร้ายเมื่อ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ในพื้นที่ หมู่ ๑๓ ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จว.นราธิวาส แต่คนร้ายได้หลบหนีไปได้ และจากภาพข่าวความเคลื่อนไหวของคนร้ายอย่างต่อเนื่องในห้วงที่ผ่านมา จึงได้จัดกำลังเข้าไปพิสูจน์ทราบ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่เคยปะทะกับกลุ่มคนร้ายหลายครั้งในห้วงที่ผ่านมา เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้เจอกับกลุ่มบุลคลไม่ทราบฝ่ายประมาณ ๔-๕ คน เจ้าหน้าที่ จึงได้แสดงตัว เพื่อตรวจสอบแต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้วิ่งหลบหนีพร้อมกับได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ๓-๔นัด เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการยิงตอบโต้และเมื่อเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุพบมีผู้เสียชีวิต ๓ คน ส่วนที่เหลือได้หลบหนีไปได้
ในห้วงที่ผ่านมา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า ได้เปิดแผนเข้ากดดันบังคับใช้กฎหมายกลุ่มคนร้ายในพื้นที่ป่าภูเขาทุกพื้นที่พร้อมได้ออกคำสั่งห้ามราษฎรขึ้นไปหาของป่าหรือกระทำสิ่งอื่นใดในพื้นที่ป่าภูเขา ทั้งนี้ได้แจ้งผ่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบโดยต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่เทือกเขาเมาะแตและเทือกเขาตะเว ถือเป็นพื้นที่หวงห้ามเด็ดขาดเพราะเป็นพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่
ได้เคยปะทะกับกลุ่มคนร้ายมาแล้วหลายครั้ง โดยที่ผ่านมาสามารถตรวจยึดฐานที่มั่นบนพื้นที่
เขาตะเวและเขาเมาะแตได้ถึง ๘ ฐาน
อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในเบื้องต้นพบว่าผู้เสียชีวิตทั้ง ๓ คน เป็นราษฎรในหมู่บ้านมิใช่ผู้ก่อเหตุรุนแรง ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง แต่ได้สำคัญผิดว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ปรากฏภาพข่าวความเคลื่อนไหวในพื้นที่ดังกล่าวก็ตาม แต่เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้น เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ โดยจะต้องเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอนของกฎหมาย #พร้อมกับตั้งคณะกรรมการสอบสวนของหน่วยเพื่อดำเนินการกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง #ทั้งทางวินัยและทางอาญาขั้นเด็ดขาดโดยไม่มีข้อละเว้น
นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้คณะกรรมการ
ด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นองค์กรอิสระจากผู้แทนของทุกภาคส่วนที่ได้รับการยอมรับจากคนในพื้นที่ เข้าทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงคู่ขนานอย่างเป็นอิสระด้วยความโปร่งใส เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาให้เหมาะสมและเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
แต่บทสรุปดังกล่าว จะไม่มีข้อพันธะผูกพันทางกฎหมาย ทั้งนี้ จะรายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้สังคมทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป
Cr.ThaiPBSศูนย์ข่าวภาคใต้