จับตา! องศา การเมือง หลัง อนค.โดนเช็คบิล

เป็นไปตามคาดหมาย คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ กรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ปล่อยกู้พรรคตัวเอง 191 ล้านบาท โดยมีเหตุอันเชื่อว่าเป็นการรับบริจาคเงินโดยแหล่งที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ทั้งนี้มาตรา 72 ของกฎหมายพรรคการเมือง ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นเหตุให้ต้องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค ตามมาตรา 92(3) ของกฎหมายพรรคการเมือง

รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย  คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช  กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปจะนำไปสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยปกติไม่น่าเกิน 30 วัน หากหลักฐานครบถ้วนสมบรูณ์ และไม่ต้องไต่สวนเพิ่มเติม

ในส่วนสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งไม่ใช่หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง จะดำเนินการต่อไปอย่างไร เชื่อว่าทางพรรคได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว หากถูกยุบพรรคต้องย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ภายใน 60 วัน หรือจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ และส่งผลให้มีการขยับรายชื่อลำดับต่อไปในการเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งประเด็นปัญหาเมื่อพรรคถูกยุบไปแล้ว อาจขยับรายชื่อลำดับต่อไปขึ้นมาไม่ได้ประมาณ 10 กว่าคน “ถามว่าส่งผลต่อสภาหรือไม่ ก็ไม่น่าเป็นปัญหา”

อย่างไรก็ตาม ให้จับตาดู ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อที่เหลือของพรรคอนาคตใหม่ จะเหมือน “ไพบูลย์ โมเดล” ย้ายไปพรรคการเมืองที่มีอยู่แล้ว ทำให้มีสถานะเป็นเพียง ส.ส.เท่านั้น ไม่ชัดเจนว่าเป็นแบบแบ่งเขต หรือบัญชีรายชื่อ ในประเด็นนี้คงมีการพูดคุยของแกนนำพรรคอนาคตใหม่ว่าจะเดินต่ออย่างไร

แต่หากแกนนำไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ จะเกิดปรากฏการณ์ “ผึ้งแตกรัง” อาจไปอยู่พรรคร่วมรัฐบาล ทำให้รัฐบาลหมดปัญหาเสียงปริ่มน้ำ เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่ที่แกนนำพรรคจะควบคุมได้หรือไม่ และส่วนตัวมองว่ายัง 50 ต่อ 50 จะย้ายไปพรรคร่วมรัฐบาล

“จะเห็นการโหวตในสภา หลายๆ ครั้งของอนาคตใหม่ มีอย่างน้อย 2-3 คน อาจย้ายไปพรรคร่วมรัฐบาล แต่อีกส่วนหนึ่งไม่ต้องการจะย้าย ซึ่งอาจเห็นอนาคตใหม่แบ่งเป็น 2 ส่วน และแน่นอนการยุบพรรคอนาคตใหม่ ส่งผลกระทบต่อพรรคฝ่ายค้านพอสมควร ทำให้เสียงหาย 80 เสียง ค่อนข้างมาก โอกาสฝ่ายค้านอ่อนแรงจะค่อนข้างเยอะ เหลือเพียงเพื่อไทยพรรคเดียวที่เป็นพรรคใหญ่ อีกทั้ง เพื่อไทย ไม่ต่อสู้เข้มข้นเหมือนอนาคตใหม่ และนับแต่นี้ให้จับตาดูอนาคตใหม่ที่เหลือจะไปตั้งพรรคใหม่ หรือย้ายเข้าเพื่อไทย แต่กำลังของฝ่ายค้านจะอ่อนลงอยู่ดี เพราะแกนนำหลักในอนาคตใหม่ไม่เหลือใคร ทั้ง ธนาธร ปิยบุตร และ ช่อ พรรณิการ์”

จากนี้ไปจะเห็นการเมืองนอกสภามีการเคลื่อนไหวมากขึ้น ในส่วนของอนาคตใหม่ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่พลังจะลดลง ไม่เหมือนอยู่ในสภา ดังนั้นจะต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ในการเดินเกมนอกสภา ส่วนความวุ่นวายในบ้านเมืองไม่น่าจะเกิดขึ้น นอกจากจะเห็นการเดินสายไปเวทีต่างๆ ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ หรืออาจมีเวทีสัมมนาต่างๆ อาจหยิบยกกรณียุบพรรคอนาคตใหม่มาพูด คงไม่มีแรงกระเพื่อมอะไรใดๆ หรืออย่างมากแค่การยกป้ายเล็กๆ น้อยเท่านั้น

เป็นอีกแง่มุมหนึ่ง ของ นักวิชาการ ที่กล่าวได้ ว่า ค่อนข้างคร่ำหวอด ต่อสถานการณ์การเมืองไทย ส่วนจะมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป แต่ว่า คงเข้มข้น มากกว่าเดิมแน่