กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โต้ “บุหงารายา” ยัน รัฐให้การสนับสนุนทุกมิติ ชี้ OIC ยังยอมรับ หลัง “ฮาซัน ยามาดี” ขึ้นเวที UN อ้างวิกฤตภาษามลายู จากนโยบายรัฐบาลและการแทรกแซงจากเจ้าหน้าที่ จงใจให้ร้ายรัฐบาลไทย
จากกรณี นายฮาซัน ยามาดีบุ ประธานกลุ่มบุหงารายา องค์กรภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนเรื่องภาษาและวัฒนธรรมมลายูใน 3 จชต. ได้เข้าร่วมประชุมเวทีสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องชนกลุ่มน้อย ณ กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 25 – 27 พ.ย. 62 ที่ผ่านมา โดยได้มีการกล่าวอ้างว่า โจมตีรัฐบาลไทย มีนโยบายแทรกแซง คุกคามระบบการศึกษา การใช้ภาษา และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของคนไทยมุสลิม เชื้อสายมลายู
รวมทั้งการระบุว่า ศูนย์ตาดีกาใน จชต. ได้ถูกกล่าวหาเป็นสถานที่ บ่มเพาะและสอนเรื่องการใช้ความรุนแรง เป็นเหตุให้ครูตาดีกาหลายคนถูกจับ จนท.ฝ่ายมั่นคงจับกุมและทำให้โรงเรียนเหล่านี้ป็นเป้าหมายของการถูกโจมตี โดยหลังจาก นายฮายัน กลับไทยแล้ว ยังมีการปล่อยข่าว นายฮายัน ถูกคุกคุกคามเอาชีวิต ได้รณรงค์ผ่านโซเชี่ยล ข้อความ “Save Activists Patani” อย่างแพร่หลาย
พันเอก ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 เปิดเผยว่า การกล่าวอ้างของ นายฮาซัน จงใจบิดเบือนไปจากความจริงจึงขอชี้แจงดังนี้ 1. ประเทศไทยถือว่าได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ ในการเป็นสังคมพหุนิยมที่เคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศาสนา และเผ่าพันธุ์ มีผู้แทนขององค์การ ความร่วมมืออิสลาม (OIC) ได้ศึกษาดูงานพื้นที่ จชต. หลายครั้ง และแสดงการยอมรับชื่นชมมาโดยตลอด อีกทั้งนโยบายของรัฐบาลก็ไม่เคยกีดกัน พร้อมทั้งให้การสนับสนุนและส่งเสริมในด้านการศึกษา ศาสนา ภาษา ศิลป พหุวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง
2. รัฐบาลให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาอิสลามศึกษาใน จชต. เพราะเป็นเรื่องที่มีความแตกต่างจากบริบทของภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทย ได้สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนตามหลักศาสนา ตามวิถีอิสลามทั้งในและนอกระบบการศึกษา ปัจจุบัน มี ศูนย์รร.ตาดีกา 2,116 แห่ง นักเรียน 159,305 คน และครู 14,732 คน โดยรัฐจ่ายเงินอุดหนุนเป็นค่าตอบแทนครูผู้สอนและค่าบริหารจัดการมัสยิด เป็นเงิน 14,000 – 20,000 บาท ต่อ เดือน
3. จากพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวของนายฮาซัน ยามาดีบุ ประธานกลุ่มบุหงารายา เป็นการใช้ชุดความคิดส่วนตัวและฐานข้อมูลที่ถูกบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงภายใต้นโยบายแห่งรัฐ ถือเป็นการจงใจให้ร้ายต่อประเทศไทยว่ารัฐบาลได้คุกคามคนมลายูมุสลิม ทั้งเรื่องอัตลักษณ์ท้องถิ่นและความไม่ปลอดภัยจากการถูกโจมตีในสถานศึกษา จึงขอให้ “หยุดให้ร้ายประเทศชาติและใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ” เพราะถือเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย