เรื่องราวความรักของร.6 กับพระราชินี-พระสนมเอก ควง 3 ออกงานและการลดพระยศ

ประวัติในส่วนของพระภรรยาในรัชกาลที่ 6 เข้มข้น มีการชิงรักหักสวาท มีการแต่งตั้งและการปลด ลดฐานันดรศักดิ์หลายครั้ง

(ขออนุญาตเล่าโดยใช้คำสามัญแทนราชาศัพท์ เพราะคนที่ไม่รู้ราชาศัพท์จะได้เข้าใจง่าย)

สมัยที่ ร.6 ยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ร.5 อยากให้แต่งกับ พระองค์เจ้าสุทธวิไลยลักษณา” (หญิงกลาง) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ร.5 ถึงเคยออกปากว่า “จะเลี้ยงหญิงกลางให้เป็นควีน “ แต่ร.6 คงไม่ชอบไม่งั้นคงแต่งไปแล้ว ประจวบเหมาะกับที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีฯ ซึ่งเป็นน้องชายกับหญิงกลางเกิดมาชอบพอกัน ร.6 ก็เลยได้โอกาสไม่แต่งตามที่พ่อต้องการ ด้วยเหตุผลว่าไม่อยากแย่งคนรักของน้องชาย

จากนั้น ร.6 ก็ไม่ได้คบหาผู้หญิงคนใดเลย หลังครองราชย์ก็ไม่มีวี่แววว่าจะแต่งงาน พระชนมายุ ก็ 40 พรรษาแล้ว จนราชสำนักเป็นห่วงเรื่องรัชทายาท ในที่สุดท่านได้ไปเจอหญิงสาวในวงไพ่บริดจ์ นั่นคือหม่อมเจ้าวรรณวิมลและเกิดชอบพอกัน

จากนั้นในเวลาเพียง 1 เดือนหลังพบกันครั้งนั้น จึงประกาศหมั้นกับหม่อมเจ้าวรรณวิมล พร้อมสถาปนาขึ้นเป็น “พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี “ เรื่องนี้เป็นที่ปลาบปลื้มในวงราชสำนักมากเพราะเป็นการหมั้นครั้งแรก และพระคู่หมั้นก็คู่ควรสมฐานะ

แต่ไม่นาน ร.6 ก็ถอนหมั้นพระองค์เจ้าวัลลภาเทวี โดยให้เหตุผลว่านิสัยเข้ากันไม่ได้ มีข่าวว่าพระองค์วัลภาถือว่าตนสูงศักดิ์สะบัดมือมือราชองครักษ์คนสนิทของ ร.6 ที่ยื่นมือไปรับตามธรรมเนียมฝรั่ง และเป็นผู้หญิงที่เป็น feminist มั่นใจในตัวเองมากเกินไป

หลังถอนหมั้นและลดยศลง พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีถูกสั่งขังจองจำด้วยโซ่ตรวนทองคำไว้ในวังตลอดกาล (ต่อมารัชกาลที่ 7 ทรงเป็นผู้ปล่อยออกมา)

ตอนยังทรงรักกันมีการแต่งกลอนหวานๆ ให้กันมากมาก แต่พอตอนเลิกกันก็มีการแต่งกลอนต่อว่ากันรุนแรงเช่นกัน ก็ตามประสากวี

ในช่วงที่ยังหมั้นกับพระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ร.6 ก็ยังทรงคบหาและไปปรับทุกข์กับน้องสาวของพระองค์วัลลภา คือหม่อมเจ้าลักษมีลาวัณอยู่บ่อยๆ พอถอนหมั้นกับพี่สาวปุ๊บ ก็จึงทรงเปิดตัวว่าคบกับน้องสาวแทน และในที่สุดก็ทรงหมั้นและสถาปนาขึ้นเป็น “พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ”

แต่หมั้นกันได้ไม่ถึงเดือน ร.6 ทรงมีบิ๊กเซอร์ไพรส์กลับไปแต่งงานกับคุณเปรื่อง สุจริตกุลแทน (คุณเปรื่องเคยเป็นนางกำนัลของพระองค์เจ้าวัลลภาเทวี พอพระองค์วัลภาถูกปลด ก็ไปเป็นนางกำนัลของพระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ จนได้มาแต่งงานข้ามหน้าข้ามตาเจ้านายนี่แหละ)

พอแต่งงานกับคุณเปรื่อง ก็ทรงประกาศแยกกันอยู่กับพระองค์เจ้าลักษมีลาวัณทันที จนทางพระญาติถึงกับช็อค เพราะเมื่อหมั้นแล้วไม่แต่ง แต่กลับไปแต่งกับนางกำนัลแทน แถมจากนี้พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณก็คงไปแต่งงานกับใครไม่ได้อีกแล้ว ร.6 จึงทรงให้เลือกว่าจะเอายังไง

สุดท้ายจึงสถาปนาอดีตคู่หมั้นขึ้นเป็น “พระนางเธอลักษมีลาวัณ” เป็นการปลอบใจ ถึงจะไม่เคยได้เป็นเมียจริง แต่อย่างน้อยก็มีตำแหน่ง มีโปเจียมลำดับที่ 1 ของฝ่ายใน ได้รับเงินปีตามตำแหน่ง ก็ดีกว่าออกไปมือเปล่า

พอแต่งงานกับคุณเปรื่องที่เป็นนางกำนัล ก็สถาปนาคุณเปรื่องเป็น “พระสุจริตสุดา” ซึ่งนี่ก็ไม่เคยมีในธรรมเนียมมาก่อน เพราะในรัชกาลก่อนๆ หากกษัตริย์แต่งกับหญิงสามัญชนก็เป็นได้แค่ “เจ้าจอม” หากมีความดีความชอบก็เป็นได้สูงสุดที่ “เจ้าคุณจอม” แต่ครั้งนี้มีการสถาปนาบรรดาศักดิ์ให้ด้วย ที่ “คุณพระ” ในตำแหน่งสนมเอก แต่ยังเป็นแค่สามัญชนนะ ไม่ได้เป็นเจ้า

จากนั้นมีผู้ใหญ่จะถวายสตรีในสกุลบุนนาคอีกคนให้เป็นสนม แต่พระสุจริตสุดาคิดว่า ถ้าต้องแต่งกับตระกูลอื่น สู้แต่งกับน้องสาวตัวเองดีกว่า จึงแนะนำให้น้องสาวของตัวเองมาเป็นเมียอีกคน (แต่ไม่รู้เลยว่าสุดท้ายจะถูกน้องสาวแซงหน้าตัวเอง)

หญิงสาวท่านนั้นชื่อคุณประไพ สุจริตกุล ร.6 จึงทรงรับและสถาปนาเป็นสนมเอกด้วย มีบรรดาศักดิ์เป็น “พระอินทราณี” เพื่อให้คล้องจองกันกับพี่สาว (พระสุจริตสุดา-พระอินทราณี)

และทั้งสองท่านรวมทั้งพระนางเธอลักษมีลาวัณ ก็ต้องอาศัยอยู่ในวังเดียวกัน ออกงานด้วยกันทั้ง 3 คนตลอด (พระนางเธอลักษมีลาวัณแม้จะมียศใหญ่สุด พระสนมทั้งสองยังต้องกราบไหว้ แต่ก็เป็นแค่เบอร์ 1 แค่ในนามเท่านั้น)

ต่อมาพระอินทราณีเกิดตั้งครรภ์ ร.6 จึงสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าที่ “สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระบรมราชินี” ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ทันที

ซึ่งการสถาปนาสามัญชนที่เป็นภรรยากษัตริย์ขึ้นเป็นเจ้านั้นไม่เคยมีมาก่อนในราชวงศ์จักรี แม้กษัตริย์จะทรงรักสนมท่านใดมากขนาดไหนก็ตาม แต่สามัญชนก็คือสามัญชน เจ้าก็คือเจ้า

(แต่ในพระบรมราชโองการสถาปนาครั้งนี้ ก็มีการอ้างถึงการสถาปนาแม่ของสมเด็จพระอมรินทรา บรมราชินีในรัชกาลที่ 1 ขึ้นเป็นเจ้าได้ ดังนั้น ครั้งนี้ก็สมควรได้เช่นกัน)

พระอินทราณีจึงได้ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี แซงหน้าพี่สาวคือพระสุจริตสุดาที่มาก่อน(แถมเป็นคนแนะนำน้องสาวเองด้วย) และแซงพระนางเธอลักษมีลาวัณที่ตนเคยรับใช้ไปเลย

แต่แล้วการตั้งท้องครั้งนั้นกลับแท้ง และหลังจากนั้นก็ตั้งท้องอีก 2 ครั้งแต่กลับแท้งทุกครั้ง ไม่รู้มีเหตุผลกลใดหรือเปล่า จนสุดท้ายไม่สามารถมีรัชทายาทให้ ร.6 ได้

แถมยังสร้างเรื่องอีกหลายครั้ง เช่น ครั้งหนึ่งเกิดเรื่องไปหึงหวงนางละครชื่อคุณเครือแก้วที่แสดงคู่กับ ร.6 ถึงขั้นไปกระทืบเท้าต่อหน้า ร.6 ที่กำลังทรงซ้อมละครและสั่งให้พวกข้าหลวงโห่ไล่ จน ร.6 โกรธมาก อีกครั้งหนึ่ง ร.6 ให้คุณเครือแก้วกราบเท้าสมเด็จพระนางเจ้าฯ แต่ก็ทรงชักเท้าหนี แสดงสีหน้าไม่พอใจ

สุดท้าย ร.6 จึงสั่งลดยศลง จากสมเด็จพระราชินี เหลือแค่ “สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา” แล้วให้แยกไปอยู่วังอื่น สุดท้ายสมเด็จอินทร์ฯก็เลือกกลับไปอยู่บ้านเดิมของพ่อตนเองแทน

ดูท่าทีแล้ว ร.6 คงเคืองแค้นสมเด็จพระอินทรศักดิ์ศจีมาก เพราะถึงกับประกาศว่า ถึงตายก็ห้ามเอาอัฐิมาวางคู่กันเด็ดขาด และแจ้งให้ทุกคนทราบว่าหลังจากแต่งงานมาก็บำรุงบำเรอน้ำใจกันแค่เพียง 1 เดือน หลังจากนั้นก็เอาแต่ปัญหามาให้ตลอด

และในที่สุด ความหึงหวงของสมเด็จอินทร์ฯ นั้นก็เป็นจริง ร.6 ประกาศแต่งงานกับคุณเครือแก้ว นางละครและสถาปนาเป็น “เจ้าจอมสุวัทนา” และเมื่อเจ้าจอมสุวัทนาตั้งครรภ์ ก็สถาปนาขึ้นเป็นเจ้าที่ “พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี”

และพระนางเจ้าสุวัทนาก็ทรงคลอดพระธิดาคือ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดาฯ ก่อนวันที่ ร.6 จะสวรรคตเพียง 1 วันนั้นเอง

ดังนั้น เมื่อ ร.6 ไม่มีพระรัชทายาทที่เป็นชาย ราชบัลลังก์จึงตกเป็นของ ร.7 ซึ่งเป็นน้องชายคนสุดท้อง

และนี่คือเรื่องราวของหญิงสาวของ ร.6 ที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

ที่มา…ห้องไลน์