เหตุนายคณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลจังหวัดยะลา ใช้ปืนยิงตัวเองหลังมีคำพิพากษาปล่อยตัวผู้ต้องหา 5 คนที่เห็นว่า หลักฐานไม่เพียงพอ ในขณะที่มีคำสั่งให้พิพากษาประหารชีวิต 3 คน จำคุกตลอดชีวิต 2 คน สะท้อนความไร้ความยุติธรรมในภาคใต้
อธิบดีผู้พิพากษาท่านหนึ่ง แทรกแซงการปฎิบัติหน้าที่ ของพิพากษา สั่งให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลย 3 คน และจำคุกตลอดจำเลย 2 คนในคดีความมั่นคง ทั้งที่พยานหลักฐานไม่มีน้ำหนัก แต่ผู้พิพากษา จ. ยะลา ไม่ยอมทำตามที่สั่ง รู้ตัวว่าคงถูกไล่ออกไม่มีบำเหน็จแน่ หลังจากตัดสินเสร็จลงจากบัลลังก์ ใช้อาวุธปืน 9 มม. จ่อยิงตัวเองที่หน้าอกด้านซ้าย1 นัด!!ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์!!
ซึ่งอาการท่านปลอดภัยแล้ว!
“หากผมกับองค์คณะยอมทำตามคำสั่งของท่านแล้ว ในคำพิพากษาและในสำนวน ไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ ที่จะเป็นเหตุให้ประหารชีวิต จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และให้จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 5 ตลอดชีวิต แทนที่จะยกฟ้องปล่อยตัวจำเลยทั้ง 5 ไปนั้น คำสั่งของท่านจะปรากฏเป็นตราบาปในชีวิตของผมและองค์คณะซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อในคำพิพากษา’ผู้พิพากษาท่านนี้ ระบุ
นี่หรือ! คือความยุติธรรมที่ท่านมอบให้แก่ประชาชน.และนี่หรือ! คือการใช้อำนาจหน้าที่โดยชอบตามกฏหมายและรัฐธรรมนูญ!!
ขอคารวะหัวใจท่านผู้พิพากษายะลาที่รักษาเกียรติยศของตุลาการยิ่งกว่าชีวิตและ “คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน”
ผู้สั่งการคงต้องเสียวสันหลัง เพราะตามหลักกฏหมายว่าด้วยพยาน คำพูดของคนที่คิดว่าตัวเองจะต้องตาย มีคุณค่า และน้ำหนักมากพอที่จะเชื่อถือ และรับฟังเป็นพยานได้!!
การตัดสินปล่อยจำเลยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการสอบสวน และฟ้องสังคมโดยเอาชีวิตตนเองเป็นหลักประกันความจริงจังของปัญหาที่เกิดขึ้น
วิธีการนี้มี impact ทำให้สังคมเชื่อได้มากว่าเป็นปัญหาอย่างที่ท่านผู้พิพากษาได้แจ้งไว้จริง
และเป็นความเสียสละอันยิ่งใหญ่ในระดับเดียวกับสืบ นาคะเสถียร
การยอมสละชีพเพื่อทำให้เกิดกระแสเปลี่ยนแปลงในสังคมระดับนี้ต้องไม่สูญเปล่า มันมีความเป็นไปได้ที่จะขยายผลให้เกิดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
อยากให้ทุกภาคส่วนของสังคมโดยเฉพาะสื่อ นักกฏหมาย นักวิชาการ นักการเมืองสานต่อเรื่องนี้ให้เต็มที่
อำนาจเผด็จการที่ใช้ผ่านหน่วยงานของกองทัพและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมนั้นควรถูกสังคายนาเสียที
สถานการณ์ในขณะนั้น ผู้พิพากษา นั่งอ่าน 25 หน้าคำแถลงการณ์ที่พิมพ์และเซ็นกำกับไว้ทุกหน้าก่อนยิงตัวเองหลังตัดสินยกฟ้อง 5 ผู้ต้องหา
มีการเตรียมการมาอย่างดี และ มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์
“สิ่งที่ผมทำไปวันนี้ ผมทำเพื่อศาลยุติธรรม ทำเพื่อประเทศชาติประชาชน”
.
ผู้พิพากษา Live สด เพื่อบอกประชาชน และแจกจ่ายคำแถลงการณ์ไปยังสื่อ ไปถึงประธานสภา เจตนามุ่งมั่นเพื่อการนี้
ผู้พิพากษาเล่าตั้งแต่คนใหญ่มีคำสั่งกลับขาวเป็นดำ กลับดำให้เป็นขาว และไม่ใช่มีแค่ครั้งคราว
.
จุกจิกหยุมหยิมแม้แต่เรื่องการพิมพ์คำตัดสินย่อหน้า การใช้คำ การเรียกหาในวันลาพักผ่อนทำให้ต้องทิ้งตั๋วเครื่องบิน รวมทั้งการขู่จะย้าย ขู่จะนั่นจะนี่ ถ้าไม่ทำตาม
.
ระบายเรื่องราวกระทั่งเบื้องหลังบ้าน “ป่าแหว่ง”
.
สุดอัดอั้นกับรายได้ไม่เป็นธรรม ทำให้ต้องย้ายไปประจำยะลาเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินพิเศษ “เพราะรายได้น้อยอาชีพนี้จึงเกิดแรงจูงใจให้ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับการปฏิญาณ”
.
ผู้พิพากษาท่านนี้ การันตี ‘ศาลชั้นต้น’ ว่าทำงานตรงไปตรงมา มีผลงานและเกียรติประวัติดี แต่ว่าชั้นอื่นไม่มีเอ่ยถึง !
.
เมื่อฟังแถลงแล้ว ก็ก่อเกิดคำถาม ‘แล้วที่ผ่านมาใครต้องพบเจอชะตากรรมแบบนี้บ้าง กี่รายแล้ว รวมถึงคดีการเมืองด้วยหรือไม่?” เป็นทั้งกระบวนการเลยใช่หรือไม่
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นกระบวนการยุติธรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไร้ความเป็นธรรม ชาวบ้านแค่เหยื่อของกระบวนการนี้เท่านั้น