“เพื่อชาติ” ปั้น ส.ส.นกแล สู้ศึกเลือกตั้ง ชู “สงคราม” แข่งแคนดิเดตนายกฯ ด้าน “จตุพร” โวส่งบุคคลขึ้นแท่นผู้นำประทศมาแล้วหลายสมัย
ในวันนี้ (1 ก.พ.) พรรคเพื่อชาติ โดยนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรค เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.ระบบเขต และระบบบัญชีรายชื่อทั้งหมด 500 คน พร้อมแถลงเปิดตัวนโยบายที่จะใช้หาเสียง โดยมีนายยงยุทธ ติยะไพรัช และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ ร่วมด้วย
นายจตุพร กล่าวปาฐกถาเรื่อง “บทเรียนกับการเลือกตั้งของประเทศไทย” ได้ถอดประสบการณ์และบทเรียนของการเลือกตั้งในอดีต ตั้งแต่การช่วยหาเสียงให้กับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ จนได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่สมัยพรรคพลังธรรม กระทั่งขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และก้าวเข้าสู่นายกรัฐมนตรี ตลอดจนนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แบบไม่พลาดแม้แต่เพียงรายเดียว เช่นเดียวกับการสนับสนุนนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ในการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงรายชื่อเดียว พร้อมมองเห็นโอกาสที่พรรคเพื่อชาติจะได้ที่นั่ง ส.ส.ในสภาฯจำนวนไม่น้อย แม้ผู้สมัคร ส.ส.ถึง 99% เป็นบุคคลที่ไม่มีชื่อเสียง ซึ่งปรากฎการณ์นี้เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อปี 2544 ที่คนที่ไม่มีชื่อเสียงได้รับชัยชนะเข้ามาแบบถล่มทลาย จนได้รับฉายาว่าผู้แทนนกแล ซึ่งพรรคเพื่อชาติจะได้ใช้หลักการนี้กับพรรคเพื่อชาติ กับผู้สมัครหน้าใหม่และไม่เคยเป็นผู้แทนราษฎรมาก่อน ถือเป็นการสร้างเม็ดเลือดใหม่ทางการเมือง
นายจตุพร ยังประเมินว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้กับผู้สมัครหน้าใหม่ได้มีที่นั่งในสภา เนื่องจากประเทศไทยไม่มีการเลือกตั้งมาถึง 5ปี ทำให้ผู้สมัครหน้าใหม่มีโอกาสเท่ากันกับผู้แทนที่ขาดการลงพื้นที่ พร้อมมั่นใจว่า หลังจากนี้ไม่เกิน 3 สัปดาห์ จะเกิดแรงเหวี่ยงที่ดีกับพรรคเพื่อชาติ ขณะเดียวกันถือเป็นความหนักใจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่จะตัดสินใจตอบรับเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้กับพรรคพลังประชารัฐ บางจาก ตรวจเลขที่พรรคพลังประชารัฐคาดการณ์ว่าจะได้ที่นั่งส.ส.ในสภาจำนวน 150 คน ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจะมาจากเขตใดบ้าง ดังนั้นพรรคพลังประชารัฐจึงไม่ใช่คู่แข่งสำคัญของพรรคเพื่อชาติ และเป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อชาติที่จะโค่นแชมป์ให้ได้ ดูชูจุดยืน การเป็นพรรคประชาธิปไตย
นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ได้เปิดตัวนโยบาย 9 ข้อ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน อาทิ ยกระดับสถานีอนามัยให้เป็นโรงพยาบาลตำบลที่มีความทันสมัย จัดเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานให้เทียบเท่ากับโรงพยาบาลในตัวเมือง / การยกเลิกเอกสารสิทธิ์ทุกประเภท เหลือเพียงโฉนดเท่านั้น เพื่อเพิ่มความเท่าเทียมให้กับเจ้าของโฉนดทุกคน ยกเลิกการผูกขาดทางการค้าและสัมปทานต่างๆ นโยบายปลอดภาษีรถยนต์เพื่อการเกษตร นโยบายเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ และผู้พิการจำนวน 2,000 บาทต่อเดือนตลอดชีพ นโยบายราคาพืชผลทางการเกษตร ซึ่งพรรคมีนโยบายที่จะทำให้สินค้าการเกษตรเหมาะสมกับสภาวะตลาด เช่น ยางพารา ราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 80 บาท , ข้าวหอมมะลิเกวียนละ 20,000 บาท , อ้อย 900 บาทต่อตัน , และมันสำปะหลัง 3 บาทต่อกิโลกรัม
