บทความโดย อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้ [email protected]
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
ข่าวใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นการบุกสังหารพระดังนักพัฒนาในวัดยามวิการ กล่าวคือ เมื่อ 18 ม.ค.62 จากข่าวดังกล่าวทำให้ผู้เขียนขอแสดงความเสียใจต่อพระท่านและญาติโยม พร้อมประณามคนร้ายที่ล้ำเส้นฆ่าพระซึ่งในศาสนาอิสลามได้สั่งห้ามแม้ในภาวะสงคราม(โปรดดูบทความผู้เขียนใน http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=4&id=223&fbclid=IwAR0t9eXSmZbYcpMRuOOOPreT5udq8uFaxAMhFGYuroZgxJFFf9NJadO1jx4) ในขณะเดียวกันขอประณามการใช้ความรุนแรงในสถานที่การศึกษา และการทำลายเป้าหมายอ่อนรวมถึงบุคคลทางศาสนาไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม ซึ่งเป็นปฏิบัติการผิดหลักการอิสลาม หลักการมนุษยธรรม และฝ่าฝืนกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องการออกแถลงการณ์ประณามเช่นกันจากทุกภาคส่วนไม่ว่าสำนักจุฬาราชมนตรี องค์กรชาวพุทธ องค์กรภาคประชาสังคมต่างๆรวมถึงองค์ภาคประชาสังคมที่เห็นต่างจากรัฐตลอด องค์สิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ความเป็นจริงก่อนจะเกิดการสังหารพระในครั้งนี้มีการลอบสังหารผู้นำศาสนาอิสลามระดับอิหม่ามและกรรมการอิสลามตลอดปี 2561 เช่น วันที่ 24 ธ.ค.2561 มีผู้ใช้อาวุธสงครามกระหน่ำยิงนายสะมะแอ เจ๊ะมะ วัย 45 ปี อิหม่ามมัสยิดบ้านท่าราบ ตำบลกะมิยอ อำเภอเมือง ปัตตานีในขณะอยู่ในที่จอดรถจนเสียชีวิต วันที่ 8 มิ.ย.2561 มีผู้ยิงนายอดุลย์เดช เจ๊ะแนวัย 55 ปี ผู้จัดการโรงเรียนลาลอวิทยา รองประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานีที่บริเวณหน้าโรงเรียน บาดเจ็บสาหัส รับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล วันที่ 11 ม.ค.2561 ยิงนายดอเลาะ สะไร หรืออับดุลเลาะห์ บิน อับดุลฮามีด วัย 62 อิหม่ามมัสยิดปูโปะจนเสียชีวิต ในวันที่ 19 ม.ค. 2561 มีคนร้ายลอบยิงนายยูโซ๊ะโต๊ะอิหม่าม หมู่ 16 บ้านคลองพน ตำบลนาทวี อำเภอนาทวี สงขลา ได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
ความล้มเหลวของรัฐตลอดปี 2561ที่ไม่สามารถนำไอ้โม่งสังหารผู้นำศาสนาของเขา(ในวงน้ำชามีข่าวพูดหนาหูว่าคนของรัฐเป็นผู้อยู่เบื้องวิสามัญฆาตกรรมผู้นำศาสนาของเขา)จะเป็นแรงขับให้คามรุนแรงชายแดนภาคใต้เพิ่มขึ้นตามข้อกังวลของผู้เขียนที่ได้เขียนไว้ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 – 28 มิถุนายน 2561(https://www.matichonweekly.com/special-report/article_112662)รวมทั้งคลิปที่เด็กที่อยู่ในบ้านคนร้ายถูกกระสุนลูกหลงจากรัฐ รวมทั้งกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของคนมลายูมุสลิมในเหตุการณ์ครูสตรีที่สอนศาสนาโดนรัฐจับ คลิปเด็กๆอนุบาลในโรงเรียนแห่งหนึ่งหวีดร้อง(ขอชีวิต)ท่ามกลางการปะทะของหน่วยความมั่นคงกับผู้ร้ายใกล้โรงเรียนเป็นตัวเร่งให้เหตุการณ์ร้ายนี้ประทุขึ้น
ข่าวการฆ่าพระครั้งนี้เป็นข่าวใหญ่ในสื่อไทยมากกว่าการฆ่าอิหม่ามหลายท่านก่อนหน้านี้ (อันนี้สื่อไทยจากส่วนกลางต้องยอมรับ)ถึงแม้คนมลายูมุสลิมไม่เห็นด้วยกับการฆ่าพระแต่รู้สึกน้อยใจเหมือนกันว่าส่วนใหญ่ของประเทศนี้ไม่ได้ยินเสียงของพวกเขาแม้กระทั่งพูดแดกดัน(ผ่านโลกเซียล)ถึงสำนักจุฬาราชมนตรีว่า “นี่ ถ้าพระไม่เสียชีวิต แถลงการณ์การประณามทั้งพระและอิหม่ามคงไม่ออก การช่วยเหลือและการเยี่ยมเยี่ยมทั้งสองฝั่งคงไม่ถึง” (ทั้งๆที่สำนักจุฬาราชมนตรีทำมาตลอดเพียงแต่ไม่ออกข่าวดังเหมือนครั้งนี้)
ไม่เพียงมุสลิมที่ทำงานสันติภาพในชุมชนเท่านั้นที่โดนแต่คนพุทธที่ทำงานสันติวิธี และกะบวนการสันติภาพก็โดนถล่มว่าไม่รักชาติและบลา บลา…โดยเฉพาะจากเพจIO ทั้งสองฝ่าย
ณรรธราวุธ เมืองสุข ผู้เกาะสถาณการณ์ชายแดนใต้/ปาตานีตลอด 15 ปีให้ทัศนะผ่านเฟสบุกส์พอสรุปได้ว่า“ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เมื่อเกิดเหตุสังหารพระสงฆ์ที่สุไหงปาดี เพจ IO “ปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation ” ต่างๆ เอาไปขยายความต่อกันอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน คนไทยจำนวนไม่น้อยตกสู่หลุมพรางของการสร้างความเกลียดชังทั้งโดยความพร้อมใจและไม่รู้เนื้อรู้ตัวกันจำนวนมากซึ่งมีโอกาสนำไปสู่ใบอนุญาตให้เกิดการกวาดล้าง จับกุม คุมขัง และฆ่าคนที่คิดเห็นแตกต่างจากตัวเองโดยไม่ยี่หระกับความบาป หรือมนุษยธรรม จริยธรรมใดๆ ทางศาสนา”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “การต่อสู้ระหว่างรัฐและขบวนการเห็นต่างเปรียบเสมือนสงครามที่สร้างกระแสความรู้สึกได้อย่างชัดเจน” โดยเฉพาะครั้งนี้มันยิ่งสร้างความรู้สึกว่ามลายูมุสลิม ไม่ได้รับความเป็นธรรมโดนรังแก ถูกเหมารวม ในขณะชนกลุ่มน้อยชาวพุทธมองว่ารัฐก็ไม่ให้ความเป็นธรรม ให้ท้ายมลายูมุสลิม เอาใจพวกเขาสารพัด ผิดแล้วยังเยียวยา สร้างบ้าน ให้อาชีพ ไม่ให้ใช้ไม่แข่งจัดการดังนั้นคนไทยและรัฐต้องคิดให้ไกล คิดให้รอบคอบ ไม่ตกหลุมพรางในสงครามความรู้สึกครั้งนี้
ด้วยเหตุแห่งสงครามความรู้สึกครั้งนี้ของส่งเสียงต่อทุกภาคส่วนดังนี้
- รัฐ
-ทำให้ความจริงให้ปรากฏ
ทำให้ความจริงให้ปรากฏทั้งสองฝ่ายตามกระบวนการยุติธรรมมาตรฐานสากล เป็นธรรม โปร่งใสมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ใช้กระบวนการนิติวิทยาศาสตร์และตรวจสอบได้ (อย่าลืมไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ทุ่มงบประมาณมหาศาลที่ชายแดนใต้ว่ายังมี ยังใช้ได้ไหม)ในขณะที่ ควรระมัดระวังในการสั่งการจากผู้นำรัฐบาลว่าจะจัดการกับผู้ที่ฆ่าพระฝ่ายเดียวตามที่เป็นข่าว(โปรดดูhttp://www.krasaetai.com/2019/01/blog-post_31.html?m=1…)
-รอบคอบในนโยบาย
เช่นนโยบายซึ่งผบ.ทบ.ชวนทหารบวชในวัด 3 จังหวัดชายแดนใต้
(79?fbclid=IwAR3rg1d6Elar7lYR61xgmLLEsPQgO46HRPp4n3Mme9BzTlLC_YRawYOf4gw) ถ้าเป็นจริงมีโอกาสที่จะทำให้พระและบริเวณวัดถูกตีความว่าไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยและยกเว้นการต่อสู้สงครามตามกฎการญิฮาด และกฎหมายสากล และจะสอดคล้องกับบางกลุ่มที่ปล่อยข่าวลือให้ชาวบ้านว่าทหารปลอมเป็นพระตลอด สิบห้าปีนี้
-คู่ขัดแย้งหรือคนเห็นต่างจากรัฐที่ใช้อาวุธ
ยึดกฎกติกา มารยาทการต่อสู้ด้วยอาวุธตามหลักญิฮาดและกฎหมายสากลโดยเฉพาะเด็ก ผู้บริสุทธิ์ สตรี ผู้นำศาสนาและพื้นที่ปลอยภัยอื่นๆ ในขณะเดียวกันหากกลุ่มขบวนการที่ต่อสู้กับให้หาญกล้าปฏิเสธหากไม่ทำเพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ามุสลิมมลายูในพื้นที่รวมทั้งมุสลิมทั้งประเทศเดือดจากการถูกเหมารวม
Hakim Pongtikorจาก รองประธานจากองค์กรPerMas
ได้ตั้งข้อกังวลหลังจากครูสอนศาสนาสตรีโดนจับและอิหม่ามโดนสังหารสามรายก่อนจะเกิดการสังหารพระ(11มกราคม 2562)ว่าตอนนี้โต๊ะอีหม่ามโดนใครไม่รู้ยิงจนเสียชีวิต3คนในรอบ3เดือน กังวลว่าจะมีการโต้คืนผู้นำศาสนาในศาสนาพุทธ (ถ้าผมคิดไปเองต้องขออภัย)โดยเฉพาะจากคนของขบวนการติดอาวุธโดยขบวนการติดอาวุธอาจคิดว่า การทำร้ายคนบริสุทธิ์ทำให้รัฐกระวนกระวายต้องปรับปรุงเเนวทางซึ่ง เเท้จริงเเล้วรัฐอนุรักษ์นยม(รัฐทหาร)ทำเป็นกระวนกระวายไปตามหน้าที่ เจ็บปวดวิตกเป็นจังหวะมนุษย์ทั่วไปแต่ไม่ได้ส่งผลต่อยุทธศาสตร์ทางออกความขัดเเย้งใดๆทั้งสิ้นซึ่งวิธีคิดโต้คืนรุนเเรงมีเเต่เสียกับเสียเพราะ
1.เป็นการละเมิดมนุษยธรรมอย่างรุนเเรง มนุษยชาติทั้งสากลเจ็บปวด มวลชนรับไม่ได้
2. การโต้ด้วยการละเมิดมนุษยธรรม Moral Ground ขบวนการว่าด้วยอุดมการณ์เอกราชตกต่ำลง
3. มวลชนสายอนุรักษ์ในประเทศไทยสนับสนุนกองทัพมากขึ้น พรรคฝ่ายทหารได้คะเเนนสนับสนุนมากขึ้น ยิ่งรัฐทหารเข้มเเข็ง ระบบอาณานิคมยิ่งเข้มเเข็ง
4. ถึงจะเห็นทั้งสองตาว่ารัฐมีนโยบายส่อละเมิดมนุษยธรรมชอบนำหน่วยทหารเเกว่งปืนเข้าโรงเรียนประถมหรือตาดีกา(โรงเรียนสอนคุณธรรมอิสลามสำหรับเด็ก) มักตั้งค่ายใกล้โรงบาลหรือสถานีอนามัย หรือสร้างค่ายทหารในวัดโดยที่เจ้าอาวาสไม่กล้าจะปฏิเสธใดๆในนามการรักษาความปลอดภัย เเต่ฝ่ายขบวนการที่มองว่าฝ่ายปาตานีเป็นผู้ถูกอธรรมไม่ควรเลียนแบบเเนวคิดรัฐเผด็จการ เพราะ ข้ออ้างเรื่องใครละเมิดก่อนมันไม่เป็นเหตุให้พ้นความผิดต่อการละเมิดได้ และในความเป็นจริงเเล้วรัฐมีช่องทางสื่อสารให้เหมือนดูดีเข้าใจได้เยอะกว่ามากทั้งภายในเเละระหว่างประเทศ สุดท้ายขบวนการจะโดดเดี่ยว จริงอยู่ใครกดขี่เรา เราต้องลุกขึ้นสู้แต่ชัยชนะมันอยู่ระหว่างช่วงเวลาของการต่อสู้ที่ยึดมั่นในคุณค่ามนุษยธรรมหรือปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างไม่เลือกปฏิบัติครับ
-สื่อ
ในขณะที่สื่อเองจะนำเสนอข่าวครั้งนี้อย่างไรเช่นกันที่จะไม่ทำให้ผู้คนทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าถูกสร้างความเกลียดชัง เหมารวม
การสื่อสาร เพื่อทำความเข้าใจ หาทางออกที่ลงตัว และสร้างความรู้สึกร่วม ซึ่งจะมีพลังและแก้ปัญหาที่สาเหตุ มากกว่าการแก้ที่อาการหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เป็นปลายเหตุ
- ผู้นำศาสนาทั้งสองฝ่าย
รีบสร้างความเข้าใจศาสนิกตนเองผ่านจิตวิญญาณศาสนาและสานสัมพันธ์กับผู้นำศาสนาอีกศาสนา
เพราะความเป็นจริงในภาพรวมผู้นำพุทธ-มุสลิมยังเข้าใจกันดีและสามารถสานเสวนาได้จึงอยากฝาก(ให้ทำตลอดสม่ำเสมอ)ว่าถึงแม้ผู้นำศาสนาพุทธ-มุสลิมโดนฆ่าแต่เราทั้งสองจะยังสานต่อการสร้างสันติภาพด้วยศาสนธรรม ด้วยจรรยามารยาทเพื่อมนุษยชาติดั่งที่ทีมงานสำนักจุฬาราชมนตรีที่รุดเยี่ยมผู้นำศาสนาทั้งสองฝ่าย(โปรดดู https://www.youtube.com/watch?v=DfdjV7ODilI)
- ประชาชนทั่วไป
ไม่ตกหลุมพรางในสงครามความรู้สึกพร้อมทั้งต้องอดทนหนักเน้น
ดังที่
- นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจได้คุยกับพูดเขียนและเขียนย้ำในเพจส่วนตัวเตือนสติทุกคนว่า
“ระวังอย่าเดินตกหลุมสงครามความรู้สึก กรณีเหตุยิงพระสงฆ์ที่สุไหงปาดี”
(จริงอยู่)เหตุยิงพระสงฆ์มรณภาพ 2 รูปและบาดเจ็บอีก 2 รูป ที่วัดรัตนานุภาพ สุไหงปาดี สร้างความสะเทือนใจกับความรู้สึกของผมอย่างยิ่งเมื่อผมทราบข่าว ก่อนหน้านี้ 1 สัปดาห์ มีเหตุยิงโต๊ะอิหม่ามที่รือเสาะเสียชีวิตเช่นกัน แต่ผมกลับไม่ได้มีความรู้สึกเท่า ทำให้ผมจึงเข้าใจได้ทันทีว่า นี่คือ “สงครามความรู้สึก” อย่างที่ ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี แห่ง มอ.ปัตตานี เคยตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อสิบปีก่อน
การยิงพระสงฆ์นั้น ถ้าถามว่าฝ่ายขบวนการต้องการอะไร ทำไปทำไม ฝ่ายขบวนการเขาไม่ได้ยิงเพื่อมุ่งเป้าสร้างความหวาดกลัวกับคนพุทธเท่านั้นหรอก ความหวาดกลัวที่สามจังหวัดนั้นมากจนเป็นความเคยชินที่ยอมรับสภาพกันไปแล้ว แต่แท้จริงเป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความแตกแยกทางความรู้สึกระหว่างพี่น้องพุทธและมุสลิม และหวังผลในระดับชาติ
พี่น้องในพื้นที่สามจังหวัดนั้นเขาได้ปรับตัวอย่างมากเข้าสู่โหมดสมานฉันท์อยู่ร่วมกันสองวัฒนธรรมอย่างลงตัวท่ามกลางควันปืนมาหลายปีแล้ว อันนี้ไม่น่าเป็นห่วงมาก การยิงพระสงฆ์คงไม่ได้ทำให้เปลวสงครามความรู้สึกของคนชายแดนใต้กระพือมากนัก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือคนไกล คนที่อยู่นอกพื้นที่สามจังหวัดต่างหาก
ความรู้สึกอคติและแบ่งแยกของพี่น้องพุทธต่อพี่น้องมุสลิม คือรากฐานอันสำคัญยิ่งของการแบ่งแยกดินแดน การเหมารวมและสบถด่าอย่างไม่แยกแยะคือเชื้อไฟอันดีที่ฝ่ายก่อเหตุต้องการ ความรู้สึกที่ไม่ดี ที่แบ่งพวก ที่ชิงชังระหว่างพุทธมุสลิมคือเป้าหมายของการยิงพระสงฆ์ในทุกครั้ง เราจึงต้องไม่เดินตกหลุมที่ถูกขุดเอาไว้ พี่น้องมุสลิมร้อยละ 99 เป็นคนดี มีวิถีชีวิตที่ดิ้นรนจากสภาพเศรษฐกิจสังคมที่บีบรัด มีความเคร่งครัดในวิถีศาสนาที่เขาศรัทธา ใจดีมีรอยยิ้ม มีน้ำใจ รักสันติ มีเพียงส่วนน้อยมากเท่านั้นที่สร้างสถานการณ์
คนไทยจึงต้องไม่เดินตกหลุม เพิ่มเชื้อไฟสงครามความรู้สึก กรณีเหตุยิงพระสงฆ์ที่สุไหงปาดี”
พร้อมทั้งต้องอดทนหนักเน้น ถึงแน่นอนจะถูกโจมตีในไฟแค้นครั้งนี้โดยเฉพาะหากดูคอมเมนต์นักเลงคีย์บอร์ด
เหล่านี้คือโจทย์ร่วมกันที่เราจะต้องช่วยกันบริหารความยุติธรรมด้านความรู้สึกในสงครามความรู้สึกชายแดนใต้ เพราะนี่คือ“ความรู้สึก” ของคนในภาวะเจ็บปวด เคียดแค้นและสะสมมานาน 15 ปี