‘กัญชา’ ไทยขึ้นทะเบียนเป็นยาเสพติดเมื่อปี 2522 ตามสหรัฐฯ ปัจจุบันได้รับการยอมรับจากผลวิจัยทางการแพทย์และการทดลองเชิงประจักษ์ว่า สามารถรักษาโรคได้ แต่ปลดล้อคไม่ได้ จากต่อต้านจากหลายฝ่ายทั้งกลุ่มเสียประโยชน์และอำนาจรัฐยังไม่เข้าใจ
วันที่ 9 ตุลาคม มีการ การสัมมนา เมื่อปลดล๊อคกัญชาอกจากบัญชียาเสพติด : ปัญหาหรือโอกาสของสังคมไทย โดยคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีวิทยากร ประกอบไปด้วย อ.คมสัน โพธิ์คง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และกรรมาธิการยกร่างกฏหมายเสพติด นายบัณฑูรย์ นิยมาภา เครือข่ายผู้ใช้กัญชาแห่งประเทศไทย นายจักรภฤต บรรเจิดกิจ ปราชญ์ชาวบ้านจ.พิจิตร และผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้กสิกรรมธรรมชาติเพื่อขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งศึกษาสกัดน้ำมันกัญชาเป็นยารักษาโรค รศ.ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
บนเวทีเสวนา ผู้เข้าร่วมทั้งที่ 4 คน ยอมรับว่า กัญชามีประโยชน์ในทางการแพทย์ในการใช้รักษาดรคได้หลายโรค แต่ยังไม่สามารถนำเสนอผลวิจัยทางการแพทย์ได้ เนื่องจากตัดขัดข้อกฎหมาย โดยอ.คมสัน โพธิ์คง กล่าวว่า มหาวิทยาลัยรังสิตได้ทำการวิจัย พบว่า สารสกัดจากกัญชาใช้รักษาโรคมะเร็งได้ แต่ไม่สามารถยืนยันทางการแพทย์ได้ เนื่องจากกฎหมายยังห้ามการทดลองในคน ขณะเดียวกันในการวิจัย ก็ยังได้กัญชาอัดแท่ง ที่ได้มาจากที่ปปส. จับกุมมา ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ปลูกเพื่อการวิจัยได้
เช่นเดียวกับ นายบัณฑูรย์ นิยมาภา หรือลุงตู้ และนายจักรภฤต บรรเจิดกิจ ซึ่งมีประสบการณ์สกัดน้ำมันจากกัญชาในการรักษาผู้ป่วย ยืนยันจากประสบการณ์เชิงประจักษ์ว่า กัญชามีฤทธิ์ในการรักษาอาการป่วยได้หลายโรค อาทิ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ความดัน โรคหัวใจ โรคซึมเศร้า ตลอดจนโรคมะเร็ง
‘ผมสกัดน้ำมันจากกัญชา แล้วให้พระเป็นผู้แจก มะเร็วรักษาให้หายได้ แต่จะต้องมีวินัย ไม่ทานของแสลง พวกเนื้อ นม ไข่ และรักษาศีลด้วย’ นายจักรภฤต กล่าว พร้อมโชว์ขวดน้ำมัน ที่ระบุว่า สมมติว่า เป็นน้ำมันสกัดจากการกัญชา
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการยืนยัน ทั้งการวิจัยทางการแพทย์ และการวิจัยเชิงประจักษณ์ในการรักษาโรคก็ตาม แต่การปลดล็อกกัญชาจากบัญชียาเสพติด ยังเป็นประเด็นปัญหา ทั้งประเด็นการยอมรับของภาครัฐ การใช้เวลาในการแก้ไข และผลกระทบหลังจากมีการปลดล็อกแล้ว
ดร.คมสัน ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขกฎหมายยาเสพติด ให้ความเห็นว่า มี 3 แนวทางในการแก้กฎหมาย คือ 1.การยกร่างกฎหมายใหม่ทั้งฉบับ แต่มีกระบวนการขั้นตอนในการดำเนินการ คงจะใช้เวลายาวนานถึงปี 2562 และจะเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาได้ในปลายปี 2563 ซึ่งอาจไม่ทันวาระของ สนช. ที่จะหมดวาระหลังการเลือกตั้ง ดังนั้นคงจะต้องไปที่สภาในชุดใหม่ ที่จะเลือกตั้งเข้ามา 2.การแก้ไขกฏหมายฉบับเดิม พรบ.ยาเสพติดให้โทษ ในมาตรา 57 โดยนำกัญชา ใบกระท่อม ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5
‘มีคนภาครัฐออกมาพูดเรื่องการแก้กฎหมาย ซึ่งช้าไป ทำไมไม่พูดเมื่อ 2-3 ปีก่อน’ นายคมสัน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในการปลดล็อคนายคมสัน เห็นว่า ต้องพิจารณาผลกระทบ ที่บริษัทรายใหญ่ด้านการเกษตร อาจจะได้ประโยชน์เช่นจากการเมล็ดพันธุ์ ประชาชนจะไม่ได้อะไรเลย เนื่องจากมีปัญหาเรื่อง พรบ.สิทธิบัตรฯ
“ขณะนี้ มีบริษัทญี่ปุ่น 3 บริษัท เข้ามาขอจดสิทธิบัตร เรื่องการผลิตน้ำมันสกัดกัญชา ในประเทศไทย 3 ราย แต่ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ยังไม่รับจด บริษัทเหล่านี้จึงไปขึ้นบัญชีเอาไว้ในประเทศอังกฤษ ที่เขาไม่มีกฎหมายควบคุมกัญชา เมื่อทางประเทศไทย ปลดกัญชาออกจากบัญชีสารเสพติด ก็จะทำให้เราต้องทำตามเงื่อนไขสิทธิบัตร ที่ทำสัญญาระหว่างประเทศที่เคยทำกันไว้ อาจจะทำให้คนไทย ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เรื่องนี้ต้องพิจารณาให้ดี อาจจะกลายเป็นการเตะหมูเข้าปากหมา และอาจนำไปสู่การผูกขาดของรายใหญ่”
‘สิ่งหนึ่งที่ผมจับได้ในที่ประชุมกรรมาธิการฯ คือ ปัจจุบันการรักษามะเร็งเป็นรายได้หลักของโรงพยาบาล รักษาแต่ละครั้ง เป็นแสนเป็นล้านบาท หากมีการปลดล็อคให้กัญชารักษาโรค รายได้ตรงนี้อาจสูญเสียไป’ดร.คมสัน กล่าวและว่า
‘อยากทำความเข้าใจ เรื่องกัญชาว่า สังคมสับสน เรื่องการเสพกัญชากับการใช้กัญชาทางการแพทย์ ซึ่งการเสพกัญชามีผลกระทบ แต่การใช้กัญชารักษาโรคมีประโยชน์ ภาครัฐเองก็ยังสับสน นำ 2 ประเด็นนี้มาปะปนกัน ซึ่งในทางการแพทย์ เราสามารถนำฝิ่น หรือพืชหลายชนิดที่ ถูกขึ้นบัญชียาเสพติด มาสกัดเป็นยาได้ แต่กับกัญชาทำไมไม่ได้ ประเด็นนี้ภาคประชาชน เครือข่ายผู้ใช้กัญชาฯ ไม่ได้สับสน มีความชัดเจนว่าเขาใช้ทางการแพทย์ แต่รัฐบาลต่างหากที่ฟังดูแล้วสับสนมหาศาล’ นายคมสัน กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ รศ.ดร.โกวิทย์ เห็นว่า ส่วนตัวเกิดมาทันกับกัญชาเป็นของถูกกฎหมาย เคยสูบตั้งแต่ปี 2510 ช่วงต่อต้านสงครามเวียดนาม ส่วนตัวมองว่า บุหรี่ เหล่า หนักกว่ากัญชา เพราะกัญชาแม่บ้านใช้ปรุงอาหาร พ่อบ้านก็ให้สูบให้อารมณ์ดี ซึ่งกฎหมายคนก็เป็นคนที่เขียนขึ้นมาในภายหลัง ในอเมริกาพวกฮิปปี้สูบกัญชากันมาก และเป็นกลุ่มต่อต้านสงครามเวียดนาม ประธานาธิบดีนิกสัน ของสหรัฐฯ จึงได้ออกกฎหมายให้กัญชาเป็นยาเสพติด
‘ที่ห่วงใยหลังการปลดล็อคก็คือ กัญชาจะถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุนกลุ่มใหญ่ เหมือนที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมสุรา จะต้องในการป้องกันไว้อย่างรัดกุม ไม่เช่นนั้น ชาวบ้านอาจไม่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง’
ส่วน นายบัญฑูร หรือ “ลุงตู้” ให้ข้อมูลว่า ส่วนตัวเป็นผู้บริโภคกัญชา และศึกษาการนำกัญชามารักษาโรค มาเป็นเวลา 50 ปี กัญชาเพิ่งเข้ามาใน พรบ.ยาเสพติด ในปี 2522 เมื่อก่อนเดินเข้าร้านขายยา ก็มีขาย อัดเป็นแท่ง ๆ ละ 3-5 บาท ถ้าซื้อเยอะ ๆก็จะถูกกว่าเป็นเท่าตัว ปัจจุบันนี้ กัญชาถูกส่งมาจากแคว้นคำง่วน กิโลละไม่กี่พันบาท ลงมาถึงกรุงเทพมหานคร ก็เพิ่มสูงขึ้น จนถึงภาคใต้ พอพ้นออกนอกประเทศไทย ขายกันกิโลละ 1-2 หมื่นบาท ถามว่า รัฐบาลไม่ได้อะไรเลย มีแต่เสียทั้งตำรวจ อัยการ ศาล และการควบคุมผู้ต้องหาสถานบำบัด ทั้งที่กัญชาสามารถรักษาโรคได้ 700 ชนิด เป็นโอกาสให้เงินใหลเข้าประเทศไทย ผลผลิตกัญชาต่อไร่ ปลูกได้เท่ากับข้าว
“กัญชา หากนำมาสกัดจะทำให้มีมูลค่าเพิ่มเป็นแสน เป็นล้านบาท แล้วเราจะให้ชาวนาปลูกข้าว ไร่หนึ่งได้เพียงไม่กี่บาททำไม กัญชาไทย เป็นพันธ์ที่ดีที่สุด 1 ใน 5 ของโลก ประกอบไปด้วย จาไมก้า ฮอนดูรัส โครเอเชีย ไทย และลาว มนุษย์เพิ่งมาบัญญัติกกฎหมายเมื่อ 39 ปี แต่มันอยู่กับเราเป็นพันเป็นหมื่นล้านปีมาแล้ว ผมถามว่า มอร์ฟีน ไบซูแรม นี่ยาเสพติดประเภทที่ 1 และ 2 ทำไมเอามาใช้ทางการแพทย์ได้ กัญชาเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 กลับเอามาใช้ไม่ได้เพราะอะไร”ลุงตู้ กล่าว
นายบัณฑูร กล่าวอีกว่า เขาต้องถูกตราหน้าว่าการใช้ กัญชา เป็นพวก ขี้ยา ทีพวกตีกอล์ฟ ทำไมไม่เรียก ขี้กอล์ฟ หรือพวก กินกาแฟ ไม่เรียกพวกขี้กาแฟ บ้าง ขณะนี้เรามีพรรคกรีน แต่ไม่ใช่พรรคการเมือง เป็นพรรคการ ”เมา” ซึ่งจะต้องปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติดโดยเร็ว ซึ่งไมเพียงช่วยลดการใช้งบประมาณรักษาโรคของคนไทยปีละหลายแสนล้านบาทแล้ว ยังจะช่วยสร้างมูลค่าให้ประเทศมหาศาล เพราะพันธุ์กัญชาของไทยดีที่สุดติด 1 ใน 5 ประเทศทั่วโลก
เช่นเดียวกับ นายจักรภฤต ปราชญ์ชาวบ้านจ.พิจิตร เห็นว่า จะต้องเร่งผลักดันให้กัญชาพ้นจากบัญชียาเสพติด เพราะมีประโยชน์มากมายในการรักษาโรค 700 โรค ยังไม่พบว่า มีโรคไหนที่กัญชารักษาไม่หาย มีบุคคลที่หายจากโรคต่างๆมายืนยันได้ รวมทั้งมะเร็ง
‘ในการเลือกตั้ง จะต้องให้พรรคการเมืองแ สดงจุดยืนเรื่องกัญชา พรรคไหนไม่เอาเรื่องกัญชาก็อย่าไปเลือก’ นายจักรพภฤต กล่าว
ในที่ สัมมนา ผู้เข่าร่วมสัมมนา ได้ถ่ายทอดประสบการณ์เรื่องการรักษาโรคจากกัญชา อาทิ โรคมะเร็ง โรคซึมเศร้า ที่หายจากการใช้กัญชา แต่ยังถูกต่อต้านจากแพทยแผนปัจจุบันอยู่มาก
กล่าวโดยสรุปกัญชาในทางการแพทย์ใช้รักษาโรคร้ายแรงได้ แต่ยังไม่สามารถปลดล็อคออกจากบัญชายาเสพติดได้ เนื่องจากถูกต่อต้านจากค่านิยมในทางลบว่า ‘กัญชาเป็นยาเสพติด’ จากภาครัฐและสังคมส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ ถูกต่อต้านจากกลุ่มผู้เสียประโยชน์ และจะมีผลกระทบที่อาจจะถูกผูกขาดโดยธุรกิจรายใหญ่ แต่การงทอดเวลาออกไป จะส่งผลให้คนไทยและประเทศไทยสูญเสียผลประโยชน์ต่อไป