มีคำสั่งย้ายผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ไปเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเบตง จ.ยะลา ซึ่งถือเป็นการย้ายข้ามจังหวัดและข้ามเขตพื้นที่การศึกษา หลายฝ่ายคาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากปมปัญหายืดเยื้อว่าด้วยเรื่องเด็กนักเรียนมุสลิมขอสวมฮิญาบและเครื่องแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลาม
สำนักข่าวอิศนา รายงานว่า คำสั่งย้ายมี 2 คำสั่งออกมาในวันเดียวกัน คือ วันศุกร์ที่ 17 ส.ค.61 เป็นคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ พิเศษ 3/2561 กับ 4/2561 เรื่องให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาปฏิบัติราชการ ลงนามโดย นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คำสั่งแรกให้ นายประจักษ์ ชูศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลปัตตานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 1 ไปปฏิบัติราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเบตง (วีระราษฎร์ประสาน) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 ส่วนคำสั่งต่อมาให้ นายนพปฎล มณีรัตน์ ผูอำนวยการโรงเรียนเบตง (วีระราษฎร์ประสาน) ไปปฏิบัติราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลปัตตานี
คำสั่งนี้อ้างเหตุผลว่า “เพื่อประโยชน์ของทางราชการ เพื่อให้การบริหารงานสถานศึกษา นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สามารถขับเคลื่อนงานได้อย่างคล่องตัว และมีประสิทธิภาพ” โดยเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 30 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546
เป็นที่น่าสังเกตว่า คำสั่งย้ายนายประจักษ์ ชูศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลปัตตานี นอกจากจะเป็นการย้ายข้ามจังหวัด ไปยังอำเภอใต้สุดแดนสยามอย่าง อ.เบตง แล้ว ยังเป็นการย้ายจากโรงเรียนระดับประถมศึกษา ไปเป็นผู้อำนวยการในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาด้วย แม้ในคำสั่งจะอ้างเหตุผล “เพื่อประโยชน์ของทางราชการ” แต่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า คำสั่งย้ายน่าจะมาจากการไม่สามารถแก้ไขปัญหากรณีเด็กนักเรียนมุสลิมจำนวนหนึ่งของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ขอแต่งกายตามหลักศาสนา คือ ผู้หญิงให้สวมฮิญาบ หรือผ้าคลุมผม และผู้ชายให้สวมกางเกงขายาว ซึ่งไม่ตรงกับระเบียบการแต่งกายของโรงเรียน ปัญหานี้ยืดเยื้อมาตั้งแต่เปิดภาคการศึกษาใหม่ประจำปี 2561 คือราวๆ กลางเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้ปกครองของเด็กนักเรียนมุสลิมกลุ่มนี้อ้างว่า ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551 เปิดให้นักเรียนมุสลิมในโรงเรียนของรัฐ รวมทั้งโรงเรียนที่ตั้งอยู่บน “ที่ธรณีสงฆ์” (โรงเรียนวัด) สามารถแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามได้ตามความสมัครใจ แต่การเคลื่อนไหวของผู้ปกครองและนักเรียนมุสลิมกลุ่มนี้ ถูกคัดค้านต่อต้านจากผู้ปกครองนักเรียนที่เป็นคนพุทธ เพราะมองว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบของโรงเรียนที่ยึดถือกันมานานกว่า 50 ปี โดยโรงเรียนอนุบาลปัตตานีตั้งอยู่ใน “ที่ธรณีสงฆ์”
จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “โรงเรียนวัดนพวงศาราม” มีสัญญาการให้ยืมใช้ที่ดินชัดเจน และในสัญญาก็เขียนมอบอำนาจในการปกครองสอดส่องดูแลโรงเรียน เป็นของเจ้าอาวาสวัดนพวงศาราม ซึ่งปรากฏว่าทั้งเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันและพระลูกวัด ก็มีท่าทีสอดคล้องกันว่า การแต่งกายของนักเรียนไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหน ต้องแต่งกายเหมือนกันตามรูปแบบที่ทางโรงเรียนกำหนด เพื่อความเท่าเทียม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แบ่งแยกศาสนา ซึ่งระเบียบและข้อตกลงนี้ ผู้ปกครองทุกคนรับทราบเป็นอย่างดีตั้งแต่ก่อนนำลูกเข้าเรียนในโรงเรียน ความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างผู้ปกครองต่างศาสนา ทำให้เกิดการเผชิญหน้าในโรงเรียน รวมทั้งความไม่พอใจของครูบางส่วน จนปัญหาบานปลาย ต่อมากระทรวงศึกษาธิการจึงตัดสินใจแก้ไขระเบียบฯว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน กำหนดให้นักเรียนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนที่ตั้งอยู่ใน “ที่ธรณีสงฆ์” ไม่สามารถต่งกายตามหลักศาสนาเป็นความสมัครใจได้เหมือนระเบียบเดิม แต่ต้องเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างวัดกับสถานศึกษา ซึ่งโดยนัยจากระเบียบใหม่นี้ ย่อมหมายความว่านักเรียนมุสลิมของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ไม่สามารถแต่งกายตามหลักศาสนาได้อีกต่อไป หากโรงเรียนและวัดไม่อนุญาต อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็ยังยืดเยื้อต่อมา เนื่องจากนักเรียนมุสลิมก็ยังแต่งกายแบบเดิม ทำให้ผู้ปกครองของนักเรียนพุทธบางส่วนสนับสนุนให้บุตรหลานแต่งกายด้วยชุดอยู่บ้านไปโรงเรียน จนบรรยากาศตึงเครียดและเกิดการเผชิญหน้าซ้ำอีก แม้จะมีการนัดผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายเข้าหารือเพื่อยุติปัญหา แต่เรื่องก็ไม่จบ กระทั่งล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 14 ส.ค.61 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เป็นครั้งแรก โดยมอบหมายให้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แก้ไขปัญหานี้ให้ยุติธรรมเร็วที่สุด พร้อมมอบนโยบายให้ยึด “ระเบียบ” เป็นหลัก โดยทุกคน ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามระเบียบ หลังจากนายกฯออกมาพูดเรื่องนี้เพียง 3 วัน ก็มีคำสั่งย้าย นายประจักษ์ ชูศรี จากผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลปัตตานี
ที่มาสำนักข่าวอิศรา