ราชกิจจานุเบกษา ซึ่งประกาศ ณ วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยนายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เผยแพร่ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ มีรายละเอียดระบุว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. ๒๕๕๑ เกี่ยวกับการแต่งเครื่องแบบนักเรียนของสถานศึกษาที่ขอใช้พื้นที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์ เป็นที่ตั้งของสถานศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ และมติมหาเถรสมาคม ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. ๒๕๕๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงวางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
▪ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑”
▪ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
▪ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในวรรคท้ายของข้อ ๑๒ แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วย เครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “นักเรียนซึ่งนับถือศาสนาอิสลามในสถานศึกษาอื่นนอกจากสถานศึกษาเอกชนสอนศาสนาอิสลาม อาจเลือกแต่งเครื่องแบบนักเรียนตามวรรคหนึ่งหรือตามแบบที่สถานศึกษากําหนดได้ตามความสมัครใจ
▪ยกเว้นสถานศึกษาที่ขอใช้พื้นที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์เป็นที่ตั้งของสถานศึกษา การแต่งเครื่องแบบนักเรียน ให้เป็นไปตามสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างวัดกับสถานศึกษา”
หลังรับทราบประกาศระเบียบดังกล่าว ได้มีปฏิกริยาออกมาทันที โดยนายบอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงศึกษาธิการ ผู้ออกระเบียบอนุญาตให้นักเรียนมุสลิมสวมฮิญาบได้ทั่วประเทศ ระบุว่า การที่กระทรวงศึกษาธิการแก้ระเบียบการแต่งกายนักเรียน กรณีโรงเรียนที่เช่าพื้นที่ธรณีสงฆ์ ให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างโรงเรียนกับวัดนั้น แน่นอนเป็นข้อยุติตามกฎหมาย แต่ไม่ยุติในด้านความรู้สึกทางใจ ความมีอคติต่อกัน และจะนำไปสู่ความไม่รักใคร่ ไม่สามัคคี ไม่กลมเกลียวของคนในชาติ
“นี่หรือผลผลิตการศึกษาของรัฐบาลยุคนี้ นี่หรือประชาธิปไตยตามวิถีไทย ไม่เคารพสิทธิของชนกลุ่มน้อยที่เขารักและหวงแหนที่จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่ดีๆของศาสนา” นายอารีเพ็ญ ระบุ
ด้านนายชาติ จินดาพล นักเคลื่อนไหวมุสลิม ระบุว่า ข้าราชการของกระทรวงศึกษาธิการไทยบางคนคือ ตัวการทำลาย เหยียดหยามศาสนาอิสลามและสร้างความแตกแยกในพหุสังคมมายาวนาน
“อดีตตอนเรียนชั้นป.3-ป.4 พวกเขาให้พิมพ์ตำราเรียนประวัติศาสตร์มัสยิดกรือเซะว่า”ถูกลิ้มกอเนี่ยวสาปแช่ง ให้ฟ้าผ่าหลายครั้งหลายครา จนสร้างมัสยิดไม่เสร็จเป็นมัสยิดร้าง ให้เห็นถึงปัจจุบันนี้ เพราะลิ้มกอเนี่ยว มาตามพี่ชายลิ้มโต๊ะเคี่ยม จากเมืองจีนที่หนีมาแต่งงานกับลูกสาวเจ้าเมือง แล้วยังอ้างถึงความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์เหนือพระผู้เป็นเจ้า ที่มุสลิมทั้งโลกเคารพกราบไหว้ นี่คือหนึ่งตัวอย่างความเลวของข้าราชการบางคนในกระทรวงนั้น ที่ให้แบบเรียนนี้ผ่านและตีพิมพ์เป็นตำราซึ่งข้าพเจ้าเคยเรียนเอง”
นายชาติ ระบุว่า วันนี้ความเลวได้เกิดขึ้นอีกแล้ว โดยกลุ่มคนบางกลุ่มได้ทำให้เกิดการแตกแยกในพหุสังคม เพื่อต้องการอะไร? ข้าพเจ้าคิดว่า คงถึงเวลาที่เหล่าผู้นำองค์กรมุสลิมต้องจัดการประชุมหาหนทางออกที่สันติวิธี โดยให้ผู้นำองค์กรทั้งหลายหาแนวคิดทางออกเพื่อให้ผลกระทบต่อเด็กนักเรียนชายแดนใต้ให้น้อยที่สุด
“ให้ผู้ปกครองเตรียมโยกย้ายเด็กมุสลิม ออกจากโรงเรียนที่ห้ามคลุมศรีษะเรียนตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ และให้สามัคคีกันในการแก้ปัญหานี้ในระยะยาวต่อไป” เขา ระบุ