เบื้องหลังการก่อตั้งราชวงศ์ซาอุฯ ภายใต้ร่วมเงายิว ตระกูลร็อดไชล์ด ความจริงที่มุสลิมทั้งโลกต้องรู้

ร็อดไชล์ดตระกูลยิวที่เป็นที่เชื่อใจของดัจยาล
– ร็อดไชล์ดและเบื้องหลังการก่อตั้งประเทศซาอุดิอารเบีย (ตอนที่ 6)
– บันทึกลับของแฮมเปลอร์
ก่อนปี 1902 คาบสมุทรอาหรับตั้งแต่ จอร์แดน ,อิรัค ,กาตาร์ ,บาห์เรน ,เยเมน และคูเวต อยู่ใต้การปกครองของคอลีฟะห์อุษมานียะห์ ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ อิสตันบูล ,กาฮีเราะห์(อิยิปต์) และแบกแดด เนื่องจากอาณาจักรที่กว้างขวางจึงมีผู้คิดจะก่อกบฎเพื่อแยกตัวออกมา หนึ่งในนั้นคือตำบลอัด-ดิริยะห์ ที่อยู่บริเวณริยาด ตอนนั้น(ปี 1740) อัด-ดิริยะห์ปกครอง
โดยเจ้าเมืองซึ่งมีเชื้อสายยิว ชื่อมูฮำมัด บิน ซาอู๊ด(เสียชีวิตในปี 1765) หรือเรียกกันว่า อิบนิ ซาอู๊ด ซึ่งอยู่ในมัซฮับฮานาฟี ภายใต้การดูแลของกาฮีเราะ อิยิปต์ ในปี 1740 อิบนิ ซาอู๊ดได้ปฏิบัติตามแผนการของสายลับอังกฤษคนหนึ่งให้เชิญผู้ก่อตั้งนิกายวาฮาบี คือ มูฮำมัด บิน อับดุลวาฮับ มาที่อัด-ดารียะ จากแผนการของอังกฤษต้องการให้ทั้ง 2 ร่วมกันก่อการกบฎต่ออาณาจักรอุษมานียะห์
ในปี 1744 การก่อกบฎนั้นประสบความสำเร็จและอัด-ดารียะห์ได้แยกตัวออกมาเป็นรัฐอิสระโดยมีอิบนิ ซาอู๊ดเป็นผู้ปกครอง และอิบนิ อับดุลวาฮับเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาแนวคิดวาฮาบี โดยทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นด้วยจัดการแต่งงานลูกสาวของอิบนิอับดุลวาฮับกับลูกชายของอิบนิซาอู๊ด ที่ชื่อ อับดุล อาซิซ เมื่ออิบนิซาอู๊ดเสียชีวิต ในปี 1765 อับดุลอาซิซได้รับช่วงต่อด้วยการเผยแพร่ลัทธิวาฮาบี เขาได้ทำลายสถานที่สำคัญของอิสลามหลายแห่ง หนึ่งในนั้น คือ มากอมของซัยนาอาลี และมากอมของซัยนาฮูเซ็น โดยอ้างเหตุผลว่ากันพวกชีอะจะมาทำชิริก
ปี 1803 อับดุลอาซิซ ได้ถูกลอบฆ่าโดยพวกชีอะ ขณะละหมาดอัสริ
อัด-ดารียะ ถูกปกครองต่อโดยซาอู๊ดบินอับดุลอาซิซ จนปี 1814 จึงได้ปกครองโดยลูกของซาอู๊ด คือ อับดุลเลาะห์ บิน ซาอู๊ด
ปี 1818 อุษมานียะห์ได้ยกทัพจากอิยิปต์มาปราบอัด-ดารียะห์และสามารถปราบสำเร็จ อับดุลเลาะห์และญาติๆถูกจับขังคุกที่ตุรกี และบางส่วนแยกมาขังที่อิยิปต์
จนปี 1902 อัด-ดารียะก็สามารถเอาชนะอุษมานียะห์ด้อีกหนและสามารถขยายดินแดนไปถึงเมืองริยาด โดยอับดุลอาซิซ เพื่อป้องกันไม่ให้อุษมานียะห์ยกทัพมาปราบปรามได้อีก อับดุลอาซิซจึงได้เซ็นสัญญากับอังกฤษ โดยยกคาบสมุทรอาหรับส่วนนี้ให้อยู่ภายใต้อาณัติของอังกฤษตั้งแต่ 1915 – 1926 ก่อนที่อับดุลอาซิซจะเสียชีวิตในปี 1953 เขาได้เซ็นสัญญากับอเมริกาซึ่งขณะนั้นถูกแทรกซึมแล้วโดยคนของร็อดไชล์ด และเข้าสู่ยุคการพบน้ำมันที่ขุดโดยอเมริกา ทำให้อัด-ดารียะร่ำรวยขึ้นมาทันที และลิขสิทธิ์การขายน้ำมันนั้นเป็นของอเมริกา ร็อดไชล์ดได้ถือโอกาสนี้เข้ามาตั้งธนาคารร็อดไชล์ดในรูปธนาคารแห่งชาติอาหรับซาอุดี้ ชื่อ Saudi Arabian Monetary Agency (SAMA) และบริษัทน้ำมันของร็อดไชล์ด เช่น Shell ,BP ได้ลิขสิทธิ์ขุดน้ำมันทั่วประเทศอาหรับซาอุดี้ ทำให้ประเทศซาอุดี้ถูกควบคุมทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจจากร็อดไชล์ด

– เราขอย้อนมาดูบันทึกของมิสเตอร์แฮมเปลอร์บ้าง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงว่าอังกฤษคือผู้วางรากฐานแนวทางวาฮาบีไว้ในซาอุดิอารเบีย เพื่อผลในการเบี่ยงเบนอิสลาม และปกครองโลกอิสลาม
เราขออ้างอิงเอกสารลับจากสายลับอังกฤษคนหนึ่งที่ชื่อมิสเตอร์แฮมเปลอร์ที่ถูกส่งมาเพื่อบ่อนทำลายอิสลามที่มักกะห์ เอกสารนั้นมีชื่อว่า Memoirs of Mr.Hempher,The British Spy to the Middle East พิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ Spiegel ที่เยอรมัน และต่อมาก็ได้พิมพ์ต่อเนื่องเป็นตอนๆที่ฝรั่งเศส ต่อมาได้ถูกแปลเป็นภาษาอาหรับโดยดร.จากลุบนาน หลังจากนั้นก็ได้เผยแพร่ไปทั่วโลก
ในเอกสารดังกล่าวมิสเตอร์แฮมเปลอร์กล่าวว่าเขาได้ถูกส่งจากอังกฤษไปยังอิยิปต์ ,อิรัค และตุรกี และอาหรับ ในปี 1710 โดยการไปที่อาหรับเพื่อต้องการสร้างความแตกแยก(ทางอากีดะห์)ให้แก่อิสลาม โดยเขาได้รับเงิน แผนที่ ตลอดจนรายชื่อของคนสำคัญๆในเผ่า และราชวงศ์ ตลอดจนอุลามาต่างๆ ที่แรกที่เขาถูกส่งไปคือที่ตุรกี ที่เขาได้ศึกษาวัฒนธรรมอิสลามและหัดพูดภาษาตุรกี อาหรับ และเปอร์เชีย ที่ตุรกีเขาได้อาศัยอยู่กับอุลามานามว่า อะห์มัด แอฟเฟนดี้ และแกล้งเข้ารับอิสลาม ที่นั่นเขาได้เรียนอัลกุรอานและความหมายทั้งเล่ม เขาทำอิบาดะห์ทั้งละหมาดและถือบวช เขาสารภาพว่าเขารู้สึกสำนึกผิดในงานของเขา เนื่องจากคนอิสลามที่ตุรกีดีต่อเขามาก จนกระทั่งเขาถึงกับต้องหลั่งน้ำตาตอนที่เขาจากกับอะห์มัด เอฟเฟนดี้

– พบกับอิบนิอับดุลวาฮับ
หลังจากกลับไปลอนดอน เขาได้รับมอบหมายงานใหม่ที่อิรัค คือ พยายามหาจุดอ่อนของคนอิสลามและสร้างความแตกแยกให้อิสลาม ที่บัสเราะห์เขาได้รับคำบอกกล่าวว่าจะได้พบกับวัยรุ่นคนหนึ่งชื่อว่า มูฮำมัด บิน อับดุลวาฮับ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในภาษาตุรกี,อาหรับและเปอร์เชีย มูอำมัด บิน อับดุลวาฮับบอกแก่แฮมเปลอร์ว่าอิสลามไม่จำเป็นต้องตามมัซฮับเพราะกุรอานไม่ได้บอกไว้ แฮมเปลอร์ได้อ่านนิสัยจากท่าทางของอับดุลวาฮับว่าเขาเป็นคนที่ชอบพูดตามอารมณ์ โกรธง่าย และหยิ่งยะโส เพื่อนใหม่ที่เขาพบนี้มีลักษณะที่เหมาะสมมากที่เขาจะใช้เป็นเครื่องมือ

– มูฮำมัด อิบนุ อับดุลวาฮับแต่งงานมุตอะห์
ตั้งแต่คบกับอิบนุอับดุลวาฮับ มิสเตอร์แฮมเปลอร์พยายามหลอกลวงเขาด้วยกับการให้อรรถาธิบายอัลกุรอานและฮาดิสที่ผิดๆ และยิ่งนิสัยของอิบนุอับดุลวาฮับที่แสดงออกว่าเขาเก่งกว่า อิมามอบู ฮานีฟะก็ยิ่งง่ายในการหลอกลวงของมิสเตอร์แฮมเปลอร์
แฮมเปลอร์ได้กล่าวว่า”การแต่งงานมุตอะห์เป็นที่อนุญาต”อับดุลวาฮับตอบว่า ไม่ได้..แฮมเปลอร์กล่าวว่า อัลเลาะฮ์กล่าวว่า อนุญาตให้มุตอะห์ได้ในขณะอยู่ในศึกสงคราม…อับดุลวาฮับ:อุมัรห้ามการมุตอะห์ในสมัยของเขาและกล่าวว่าเขาจะลงโทษคนที่ทำมุตอะห์..แฮมเปลอร์:อุมัร บอกว่าห้าม ในขณะที่ท่านศาสดาบอกว่าอนุมัติ ทำไมท่านจึงไม่เชื่อคำศาสดาและเชื่อคำของอุมัรกระนั้นหรือ..อิบนุอับดุลวาฮับ เงียบ

การหลอกล่อนี้เป็นผลในที่สุดอิบนุอับดุลวาฮับก็ตกลงใจจะแต่งงานมุตอะห์ โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามบอกชื่อจริงของเขาแก่ฝ่ายหญิง มิสเตอร์แฮมเปลอร์ จึงได้ติดต่อหญิงคริสเตียนคนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นสายลับคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ทำความเสียหายให้อีมานของชายหนุ่มมุสลิมโดยผ่านทางเซ็กส์ฮาราม หญิงคนนั้นได้ปลอมเป็นคนอิสลาม ชื่อ ซาฟิยา หลังจากการแต่งงานมุตอะห์ได้สองเดือน เธอได้ประสบผลสำเร็จในการทำให้อิบนุอับดุลวาฮับดื่มสุราโดยไม่รู้สึกตัว
ในทัศนะของตะวันตกวาฮาบีไม่ใช่มัซฮับหรือแนวคิดใหม่ แต่มันคือศาสนาใหม่ที่หลบอยู่ในอิสลาม ศาสนาที่อังกฤษสร้างขึ้นใหม่นี้ได้ถูกกล่าวไว้เองในบันทึกของมิสเตอร์แฮมเปลอร์ว่า “เราได้ทำให้ดาริยะห์เป็นเมืองหลวง และเราให้ชื่อศาสนาใหม่นี้ว่า ศาสนาวาฮาบี และเราได้สนับสนุนและเผยแพร่วาฮาบีให้อยู่ในความควบคุม”

คนที่ตระหนักถึงอันตรายของแนวคิดวาฮาบีนี้คือ พ่อและพี่ชายของอิบนิอับดุลวาฮับเอง อิมามมูฮำมัดอับดุลเลาะห์ฮุเบต เป็นมุฟตีมักกะห์ในมัซฮับฮัมบาลีได้ต่อต้านผู้ตามของวาฮาบีที่กล่าวว่าอิบนุอับดุลวาฮับคือนักต่อสู้ที่ทำความบริสุทธิ์ให้ศาสนาอิสลาม ด้วยการทำลายล้างบิดอะห์นั้นเป็นเพียงข้ออ้างของอุลามาวาฮาบีเพื่อจะปิดบังเจตนาที่แท้จริง รวมถึงพี่ชายของเขาเอง คือ แช็ค สุลัยมานอิบนิอับดุลวาฮับซึ่งได้เขียนหนังสือสองเล่มออกมาต่อต้านน้องชายของเขาเอง

ร็อดไชล์ดได้ใช้การแทรกซึมอย่างเป็นขั้นตอนต่อแผ่นดินฮิญาซและสถาปนาประเทศซาอุดี้ขึ้นมา เพื่อการเผยแผ่ลัทธิวาฮาบีไปทั่วโลก ความร่ำรวยจากน้ำมันถูกใช้เป็นเครื่องมืออย่างเต็มที่ในการเผยแพร่วาฮาบี

– อุลามาปอเนาะ คือ คนแรกที่ตระหนักถึงการแทรกซึมของวาฮาบี
ในโลกมลายูศาสนาอิสลามได้แพร่ขยายโดยอุลามาๆที่มีชื่อเสียงมากมาย พวกเขาออกไปแสวงหาวิชาความรู้ที่ต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มักกะห์,อิยิปต์,
ซีเรีย,ลุบนาน,อินเดีย,อาเจ๊ะ

ก่อนที่วาฮาบีจะเข้มแข็งเสียอีก พวกเขาศึกษากันเป็นสิบๆปีก่อนที่จะเดินทางกลับมลายู พวกเขาได้ยินข่าวของความพยายามที่จะเผยแพร่ลัทธิชีอะห์ และซาลาฟี(วาฮาบี) เมื่อพวกเขากลับมามลายูพวกเขาจึงเตรียมการป้องกันโดยเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านอากีดะห์อิสลามแก่คนมลายูด้วยการสอนหลักฐานต่างๆและการปฎิบัติตารีกัต ที่ปอเนาะต่างๆจะมีมัจลิสซิเก็รและมีการอิยาซะห์ตารีกัตที่เขานำมาจากแช็คๆที่มักกะห์ ด้วยมัจลิสซิเก็รนี้เองทำให้นักศึกษาปอเนาะได้รับการศึกษาอากีดะห์อย่างมีระบบ ทำให้ไม่โอนอ่อนไปกับการโจมตีจากภายนอกโดยเฉพาะความเข้าใจอากีดะห์ที่นอกแนวทางที่นำมาโดยวาฮาบี

– ร็อดไชล์ดไม่ชอบมัซฮับที่มีอยู่ในอิสลาม
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ประชาชาติอิสลามไม่หลงไปกับแผนต่างๆของร็อดไชล์ดก็คือ การยึดมัซฮับ ร็อดไชล์ดรู้ดีว่ามัซฮับในอิสลามนั้นไม่ได้หมายถึง ความแตกแยก แต่มันเป็นการวางแนวทางการสอนอิสลามจากอุลามาที่ชาญฉลาดแบบมีระบบและก้าวหน้า ซึ่งทำให้อิสลามได้แพร่ขยายออกไปทั่วโลก
อุลามามัซฮับทั้ง 4 คือ มาลิกี ,ฮานาฟี ,ฮัมบาลี ,ชาฟิอี ได้ประสบความสำเร็จในการนำอิสลามให้เผยแพร่ออกไปอย่างมีระบบ และก้าวหน้าหลังจากยุคของคุละฟาอุรรอชิดีน สิ่งที่ร็อดไชล์ดกลัว คือ ความคิดของประชาชาติอิสลามทั่วโลกที่มีความเป็นระบบและก้าวหน้าโดยไม่ตามอิทธิพลของโลกภายนอก และมั่นคงในอากีดะห์ที่ถูกต้อง
ร็อดไชล์ดรู้ดีว่ามัซฮับ คือ วิธีการคิดที่เป็นระบบซึ่งเป็นของขวัญจากอัลเลาะฮ์โดยผ่านทางอุลามาจีเนียสทั่วโลก อุลามาเหล่านี้ไม่ได้ออกคำฟัตวาตามใจชอบตามยุคสมัย แต่พวกเขาได้รับตาใจ(บาซีเราะห์) หรือกาชัฟ ซึ่งเขาใช้ในการฟัตวาชารีอัตโดยผ่านทางตารีกัตที่ได้ปฎิบัติมาโดยอุลามามัซฮับ

อุลามามัซฮับจึงถูกเรียกจากร็อดไชล์ดว่า พวกหัวเก่า รอดไชล์ดทราบดีว่าวิชาความรู้ที่สอนโดย พวกหัวเก่านี้ คือ ความรู้จาก 4 มัซฮับ ดังนั้นแม้ว่านักศึกษาจะเรียนรู้ในมัซฮับชาฟิอี และนำกลับไปประเทศที่ปฎิบัติชาฟิอี แต่ในตัวของเขาเองมีความรู้ครบถ้วนทั้ง 4 มัซฮับ สิ่งนี้เองที่ร็อดไชล์ดไม่ชอบใจ เพราะว่าคนอิสลามที่มีมัซฮับเขาจะให้เกียรติกันอย่างมากต่อบรรดามัซฮับอื่นๆ ทำให้พวกเขาไม่คลั่งไคล้ในมัซฮับเดียวเพราะว่าแต่ละมัซฮับก็มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น มัซฮับชาฟิอีไม่สามารถจะคัดค้านความเห็นของมัซฮับมาลิกี เพราะอิมามชาฟิอีเองเรียนรู้ชารีอัตจากอิมามมาลิก และอิมามมาลิกเองก็เรียนกิตาบมุวัตเตาะจากอิมามชาฟิอี สิ่งนี้มีข้อพิสูจน์จากฟัตวาของ 4 มัซฮับจากอัซฮัร พ้องกันว่าดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินจากแบ็งร็อดไชล์ดที่อิยิปต์นั้นฮารอม ร็อดไชล์ดรู้ดีว่าการรวมกันของ 4 มัซฮับนั้นจะทำลายแผนการของเขา ซึ่งเคยเกิดมาแล้วเมื่อปี 1898 ที่กาฮีเราะ

– อุลามาวาฮาบีต้องการทำลายตะเซาวูฟ
พวกตะวันตกรู้ดีว่ามนุษย์นั้นไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่อุลามาอิสลามเอง โต๊ะครูปอเนาะ ต่างสามารถที่จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของร็อดไชล์ดได้ทั้งสิ้นด้วยกับการซื้อด้วยเงินและตำแหน่ง การยกยอ การคอรัปชั่น ชื่อเสียงและอื่นๆ ให้ตามแผนการของพวกเขา
แต่มีคนอยู่ชนิดหนึ่งที่ร็อดไชล์ดและดัจยาลไม่สามารถซื้อได้นั่นคือ วาลียุ้ลเลาะห์ หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า ชาวซูฟี พวกเขาได้ชื่อนี้เนื่องจากพวกเขาเรียนวิชาตะเซาวูฟที่สืบทอดมาจากร่อซู้ล(ซ.ล.) ซึ่งต้องเรียนรู้ด้วยกับการปฎิบัติด้วยหัวใจเท่านั้น พวกเขาคือบรรดาริยาลุ้ลเฆ็บที่จะเป็นทหารของอิมามมะห์ดีในวันข้างหน้า ที่จะต่อสู้กับดัจยาล นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมร็อดไชล์ดจึงต้องการเผยแพร่แนวลัทธิวาฮาบีออกไปทั่วโลก เพื่อต่อสู้กับผู้เรียนรู้วิชาตะเซาวูฟหรือความรู้ตารีกัตนั่นเอง
ทฤษฎีนี้ฟังดูอาจจะแปลกๆ แต่มันคือความจริงที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันที่เราพิสูจน์ได้ว่ามีแนวความคิดเดียวที่ไม่ถูกรบกวนจากอเมริกาเลย คือ แนวคิดวาฮาบี รวมถึงประเทศที่เผยแพร่แนวคิดนี้ด้วย เพราะอเมริการู้ว่าแนวคิดนี้คือไอเดียที่มาจากดัจยาล

– ผู้ก่อตั้งแนวทางซาลาฟีทำการเตาบัต
กลุ่มวาฮาบีรวมถึงผู้ก่อตั้งคือ อิบนิ อับดุลวาฮับ ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดของ แช็ค อิบนิ ตัยมียะห์(ซาลาฟี) เพื่อต่อต้านและทำสงครามกับอุลามาอะลิสซุนนะวัลญามาอะห์ อิบนิตัยมียะห์ จากตุรกี ซึ่งเสียชีวิตในปี 1328 ได้เผยแพร่คำสอนว่าอัลเลาะฮ์มีลักษณะเหมือนกับมัคโลคสิ่งถูกสร้างทั่วไป เช่นเดียวกับมนุษย์ คือ มีมือ มีหน้า ลงมาจากฟากฟ้า นั่งบนเก้าอี้ และมีสถานที่อยู่บนอารัช แนวความคิดของอิบนิตัยมียะห์นี้เองคือการยึดมั่นของอุลามาวาฮาบีทั่วโลกในยุคปัจจุบัน แม้ว่าอิบนิตัยมียะห์จะได้เตาบัตแล้วในความคิดของเขา แต่บรรดาอุลามาวาฮาบีกลับไม่เตาบัตตามผู้ก่อตั้งแนวทางวาฮาบีของพวกเขา

– แช็คคุ้ลอิสลาม อิมามอิบนุฮาญัร อัซกอลานี(เสียชีวิตปี1448)เป็นอุลามาอาดิสที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้รวบรวมกิตาบซอเหี๊ยะบุคอรี ได้รายงานถึงการเตาบัตของอิบนิตัยมียะห์ไว้ในกิตาบของเขาที่ชื่อว่า อัดดุรอร อัล กามินะ ฟี อัยยาน อัล มีอะ อัซ วามีนะ ว่าอิบนิตัยมียะห์ได้เตาบัตจากอากีดะห์ที่หลงทางและกล่าวสองกาลิมะห์ชาอาดะห์ใหม่ และยอมรับโดยกล่าวว่า “ฉันคือผู้อยู่ในกลุ่มอะชาอิเราะห์”(มัซฮับชาฟิอี)

บทสรุป ร็อดไชล์ดได้ปลดปล่อยมักกะห์และมาดีนะห์จากการปกครองของตุรกี และวางไว้ภายใต้การปกครองใหม่ที่ชื่อว่า อาหรับซาอุดี้ ปัจจุบันซาอุดี้คือผู้รับใช้ร็อดไชล์ดอย่างเต็มตัวไม่ว่าจะด้านการเมือง เศรษฐกิจและด้านศาสนาก็ตาม เพราะดัจยาลรู้ว่าหัวใจของคนอิสลามทั่วโลกรวมอยู่ที่นครศักสิทธิ์ทั้งสอง คือ มักกะห์และมาดีนะห์ เป้าหมายของร็อดไชล์ดไม่ใช่น้ำมัน เพราะพวกเขาร่ำรวยที่สุดในยุโรปมาตั้งแต่ปี 1800 แล้วและเป้าหมายของพวกเขาคือการสร้างศูนย์กลางการเบี่ยงเบนทางอากีดะห์นั่นคือ แนวคิดวาฮาบีโดยผ่านทางเงินทุนอุดหนุนจากอาหรับซาอุดี้ ทำให้ง่ายต่อการเผยแพร่ และยิ่งกว่านั้นพวกเขายังครอบครองนครศักสิทธิ์ของอิสลามทั้งสองซึ่งยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับมุสลิมทั่วโลกว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะหลงทาง ดัจยาลได้รวมเอาแนวคิดวาฮาบีและการกลุ่มอิบนิซาอู๊ดมาตั้งแต่ปี 1744 ซึ่งเมเยอร์อัมเซล ร็อดไชล์ดเพิ่งจะเกิดเอง ในขณะที่การประกาศตั้งประเทศซาอุดี้เพิ่งมาเกิดตอนปี 1800 นั่นหมายความว่าดัจยาลได้เริ่มแผนการรวมแนวคิดวาฮาบีและประเทศซาอุดี้มาก่อนแล้วและมอบหน้าที่ในการควบคุมโลกอิสลามนี้ให้แก่ร็อดไชล์ด

การจะต่อสู้กับร็อดไชล์ดและแนวทางวาฮาบีก็ด้วยจิตใจที่เข้มแข็งและร่ำเรียนวิชาตะเซาวูฟ และเสริมสร้างอะกีดะห์อะลิสซุนนะห์วัลญามาอะห์ให้เข้มแข็งเท่านั้น จึงจะสามารถต้านทานแนวคิดวาฮาบีที่เผยแพร่อยู่ในขณะนี้ได้ วัลลออุอะลัม
Cr. Yasin Anannab