ทรัมป์ประกาศในที่ประชุมยูเอ็น ขึ้นบัญชีดำ “เกาหลีเหนือ-อิหร่าน-เวเนซูเอล่า” เป็นอักษะความชั่วร้าย

ทรัมป์ประกาศรายชื่อประเทศที่อยู่ในบัญชีอักษะแห่งความชั่วร้ายสามประเทศ และขอให้ประเทศที่ยืนหยัดอยู่บนความถูกต้องร่วมมือกันเผชิญหน้ากับประเทศที่ชั่วร้ายเหล่านี้

ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศบัญชีรายชื่อประเทศที่เป็นอันธพาลของโลกและเรียกประเทศเหล่านี้ว่า “อักษะแห่งความชั่วร้าย” ซึ่งเป็นคำที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯเคยใช้เรียกกลุ่มประเทศที่เขามองว่ามีรัฐบาลที่ชั่วร้ายและเป็นภัยต่อความมั่นคงของโลกเมื่อปี 2002 ซึ่งสมัย จอร์จ ดับเบิลยู บุช อักษะแห่งความชั่วร้ายประกอบด้วย อิรัก, อิหร่าน และ เกาหลีเหนือ ขณะที่อักษะแห่งความชั่วร้ายที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ ประกอบด้วย เกาหลีเหนือ, อิหร่าน และ เวเนซุเอลา

ทรัมป์กล่าวว่าเกาหลีเหนือ, อิหร่าน และ เวเนซุเอลา เป็นประเทศที่ไม่เห็นความสำคัญของประชาชนของตัวเอง มีทั้งการคุกคาม ละเมิดสิทธิมนุษยชน และยังทำตัวเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศอื่นด้วย ซึ่งอิรักเป็นประเทศที่ถูกถอดออกจากบัญชี อักษะแห่งความชั่วร้าย เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯได้ส่งกำลังทหารบุกเข้าไปในอิรักและโค่นล้ม ซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำเผด็จการของอิรักไปเรียบร้อยแล้ว และประเทศที่ถูกเพิ่งถูกทรัมป์ประกาศให้เป็นสมาชิกใหม่ของอักษะแห่งความชั่วร้ายก็คือเวเนซุเอลา ซึ่งขณะนี้กำลังมีปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และความขัดแย้งทางการเมืองขั้นรุนแรง จนส่งผลให้มีประชาชนที่ประท้วงต่อต้านรัฐบาลเสียชีวิตไปแล้วกว่า 120 คน

ทรัมป์กล่าวว่า เกาหลีเหนือเป็นหายนะของโลกนี้ และเรียกนายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือว่า “rocket man” หรือชายผู้ยิงขีปนาวุธ และระบุว่าโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือคือการฆ่าตัวตายของของนายคิม เพราะหากสหรัฐฯถูกข่มขู่ สหรัฐฯก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำลายล้างเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก

ส่วนอิหร่าน ทรัมป์กล่าวว่าถึงเวลาแล้วที่โลกจะต้องจัดการกับอิหร่าน เพราะอิหร่านเคยพูดขู่ว่าจะทำลายสหรัฐฯและอิสราเอล และทรัมป์ได้กล่าวโจมตีข้อตกลงระงับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อิหร่านที่ถือว่าเป็นผลงานเด่นของรัฐบาลนายบารัก โอบามา โดยนายทรัมป์กล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นความอับอายของสหรัฐฯเนื่องจากเปิดโอกาสให้อิหร่านแอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้อย่างลับๆ และทรัมป์อาจพิจารณาข้อตกลงนี้ใหม่อีกครั้ง นอกจากนั้น ทรัมป์ยังกล่าวหารัฐบาลอิหร่านว่าแทนที่จะนำรายได้มหาศาลที่ได้จากการค้าน้ำมันมาพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ แต่อิหร่านกลับนำเงินไปสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายในตะวันออกกลาง และสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน

ส่วนเวเนซุเอลา ทรัมป์บอกว่าความวุ่นวายทางการเมืองและลัทธิอำนาจนิยมที่รุนแรงมากขึ้นในเวเนซุเอลาเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และสหรัฐฯจะไม่ยืนดูอยู่เฉยๆ โดยสหรัฐฯต้องการมอบอิสรภาพและประชาธิปไตยคืนให้กับชาวเวเนซุเอลา ซึ่งสหรัฐฯพร้อมที่จะจัดการกับเวเนซุเอลา ถ้าหากรัฐบาลเวเนซุเอลายังใช้อำนาจกับประชาชนและฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างไม่เป็นธรรม

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้ระบุถึงแผนการหรือนโยบายใดๆที่จะใช้จัดการกับประเทศเหล่านี้ แต่ก็ได้เรียกร้องให้ประเทศต่างๆร่วมกันพิจารณามาตรการที่จะใช้ต่อประเทศเหล่านี้ร่วมกัน โดยทรัมป์กล่าวว่า “ประเทศที่ยืนหยัดอยู่บนความถูกต้องซึ่งมีจำนวนมากกว่าต้องร่วมกันเผชิญหน้ากับประเทศชั่วร้ายที่มีไม่กี่ประเทศ”

นายโมฮัมหมัด จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของอิหร่านได้ทวีตข้อความแสดงความคิดเห็นต่อการกล่าวสุนทรพจน์ของทรัมป์ว่า “การพูดสร้างความเกลียดชังที่โง่เขลาของทรัมป์ควรไปพูดในยุคกลาง ไม่ใช่มาพูดที่สหประชาชาติในศตวรรษที่ 21” ขณะที่นายโฮเก อาร์รีซา รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของเวเนซุเอลาก็ตอบโต้ว่า “ทรัมป์ไม่ได้เป็นประธานาธิบดีของโลก เขายังจัดการกับรัฐบาลของตัวเองไม่ได้เลย” ส่วนรัฐบาลเกาหลีเหนือยังไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ

Voicetv
ภาพ: AP