ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เจ้าชายแห่งราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย 3 พระองค์ที่ประทับในยุโรป ได้ทยอยกันหายสาบสูญไปอย่างเป็นปริศนาติดต่อกัน โดยก่อนหน้านั้นทุกพระองค์ต่างเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซาอุดีอาระเบียมายาวนาน จนมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า เจ้าชายทั้งสามน่าจะถูกลักพาตัวกลับไปยังซาอุดีอาระเบียและถูกคุมขังไว้เป็นแน่
รายแรกคือเจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี บิน อับดุลอาซิส ซึ่งเสด็จมาประทับที่นครเจนีวาในสวิตเซอร์แลนด์ด้วยเหตุผลด้านพระพลานามัย แต่หลังจากเสด็จมาถึงได้ไม่นานก็เริ่มประทานสัมภาษณ์ออกสื่อในเชิงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซาอุดีอาระเบียเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน การคอร์รัปชันในหมู่เชื้อพระวงศ์และเจ้าหน้าที่ระดับสูง รวมทั้งทรงเรียกร้องให้มีการปฏิรูป ซึ่งแน่นอนว่าทางซาอุดีอาระเบียซึ่งปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศเมื่อปี 1932 นั้นย่อมจะรับความเห็นต่างไม่ได้

ในวันที่ 12 มิถุนายน ปี 2003 เจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี ได้ทรงตอบรับคำเชิญของเจ้าชายอับดุลอาซิส บิน ฟาฮัด ซึ่งเป็นพระญาติสนิทให้เสด็จไปเสวยพระกระยาหารเช้าที่พระตำหนักชานนครเจนีวา โดยในระหว่างนั้นเจ้าชายอับดุลอาซิสได้ทรงพยายามตรัสโน้มน้าวให้เจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี ทรงยินยอมเสด็จกลับซาอุดีอาระเบีย โดยตรัสเป็นมั่นเหมาะว่าปัญหาความขัดแย้งเรื่องการวิจารณ์รัฐบาลของพระองค์จะได้รับการแก้ไขให้คลี่คลายไปอย่างแน่นอน โดยการสนทนาในครั้งนี้มี เชค ซาเลห์ อัล เชค รัฐมนตรีกิจการอิสลามของซาอุดีอาระเบียนั่งเป็นพยานอยู่ด้วย
หลังเจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี ทรงปฏิเสธ เจ้าชายอับดุลอาซิสได้เสด็จออกจากห้องที่ประทับอยู่ โดยอ้างว่าทรงต้องการใช้โทรศัพท์ แต่ทันใดนั้นชายฉกรรจ์สวมหน้ากากหลายคนได้บุกเข้ามาในห้อง ตรงเข้าทุบตีและสวมกุญแจมือเจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี ทั้งยังฉีดยาสลบเข้าที่พระศอ
เจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี ตรัสให้การต่อศาลของสวิตเซอร์แลนด์ในภายหลังว่า กลุ่มคนร้ายได้รีบนำตัวพระองค์ไปยังสนามบินนานาชาติของนครเจนีวา และแบกร่างไร้สติของพระองค์ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวที่จอดรอพร้อมออกเดินทางอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้ติดตามรับใช้ของเจ้าชายที่เฝ้ารอการเสด็จกลับอยู่ที่โรงแรมที่ประทับต้องประหลาดใจ เมื่อจู่ ๆ เอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำสวิตเซอร์แลนด์ได้มาพบพวกเขาด้วยตนเองพร้อมแจ้งว่า “ตอนนี้เจ้าชายอยู่ที่กรุงริยาดห์แล้ว พวกคุณไม่จำเป็นต้องอยู่ที่โรงแรมนี้อีกต่อไป เก็บข้าวของแล้วออกไปซะ”
กรณีการลักพาตัวเจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี อย่างอุกอาจ ทำให้เจ้าชายแห่งราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียอีก 3 พระองค์ที่ประทับในยุโรปหวั่นเกรงว่าชะตากรรมของพวกพระองค์อาจไม่แตกต่างกันนัก เจ้าชายตูร์กี บิน บันดาร์ ซึ่งประทับในกรุงปารีสของฝรั่งเศสทรงเริ่มระแวดระวังพระองค์มากขึ้น เนื่องจากทรงเป็นอีกผู้หนึ่งที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซาอุดีอาระเบียทางเว็บไซต์ยูทูบอยู่เป็นประจำ

ก่อนหน้านี้เจ้าชายตูร์กี บิน บันดาร์ มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจระดับสูงในกรุงริยาดห์ ซึ่งมีหน้าที่ถวายการอารักขาแก่พระราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียโดยตรง แต่หลังจากที่ทรงมีความขัดแย้งเรื่องมรดกกับพระญาติ ซึ่งทำให้ทรงต้องโทษจำคุก พระองค์ได้เสด็จลี้ภัยมายังกรุงปารีสในทันทีที่ได้รับการปล่อยตัว
เมื่อนายอาเหม็ด อัล ซาเลม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยของซาอุดีอาระเบียโทรศัพท์มาเกลี้ยกล่อมให้พระองค์เสด็จกลับประเทศ เจ้าชายตูร์กี บิน บันดาร์ได้ทรงบันทึกเทปการสนทนานั้นไว้เป็นหลักฐาน และทรงนำไปโพสต์เผยแพร่เป็นวิดีโอในเว็บไซต์ยูทูบด้วย
รมช. อัล ซาเลม : “ทุกคนรอคอยการกลับมาของท่านนะ ขอพระเจ้าอวยพรท่าน”
เจ้าชายตูร์กี : “รอฉันกลับงั้นเหรอ แล้วจดหมายที่คนของคุณส่งมาล่ะ ? พวกมันว่าฉันเป็นลูกโสเภณี ขู่จะลากตัวฉันกลับประเทศเหมือนเจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี คุณรู้บ้างไหม?”
รมช. อัล ซาเลม : “พวกเขาไม่แตะต้องท่านหรอก เราเป็นพี่น้องกัน”
เจ้าชายตูร์กี : “ฉันไม่เชื่อ พวกมันเป็นคนของคุณนั่นแหละ กระทรวงของคุณส่งพวกมันมา”
เจ้าชายตูร์กี บิน บันดาร์ ยังคงโพสต์วิดีโอเรียกร้องการปฏิรูปและวิจารณ์รัฐบาลซาอุดีอาระเบียต่อไป จนเมื่อกลางปี 2015 ทรงหายตัวไปอย่างลึกลับ นายวาเอล อัล คาลาฟ พระสหายที่เป็นนักเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองเช่นกันบอกว่า หลังเจ้าชายหายเงียบไปไม่นาน เขาได้ยินข่าวจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลซาอุดีอาระเบียบอกว่า เจ้าชายตูร์กี บิน บันดาร์ ถูกควบคุมตัวอยู่ที่กรุงริยาดห์แล้ว ซึ่งเท่ากับยืนยันว่าทรงถูกลักพาตัวไปจริง
จากการตรวจสอบ นายคาลาฟพบเบาะแสในหนังสือพิมพ์ของโมร็อกโกซึ่งชี้ว่า เจ้าชายถูกจับกุมและคุมขังในเรือนจำระหว่างเสด็จเยือนโมร็อกโก โดยการจับกุมนี้เป็นไปตามคำสั่งของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย หลังจากนั้นศาลของโมร็อกโกได้สั่งเนรเทศพระองค์กลับยังประเทศบ้านเกิด และไม่มีผู้ใดได้ทราบข่าวคราวของพระองค์อีกเลย

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่เจ้าชายตูร์กี บิน บันดาร์หายตัวไป เชื้อพระวงศ์ซาอุดีอาระเบียอีกพระองค์หนึ่งคือเจ้าชายซาอุด บิน ซายิฟ อัล นัสรุน ซึ่งทรงหลงใหลในมนต์สเน่ห์ของคาสิโนและโรงแรมหรูหราหลายแห่งของยุโรป ก็ต้องมาประสบชะตากรรมเดียวกัน หลังจากที่ได้ทวีตข้อความวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ของซาอุดีอาระเบีย และเรียกร้องให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่หนุนหลังการโค่นล้มประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด มอร์ซี ของอียิปต์
เมื่อเดือนกันยายน ปี 2015 เจ้าชายซาอุดแสดงการสนับสนุนเนื้อหาของจดหมายที่เขียนโดยเจ้าชายผู้ไม่ประสงค์ออกนามพระองค์หนึ่ง ซึ่งเนื้อหาของจดหมายนี้เรียกร้องให้โค่นล้มสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน เจ้าชายซาอุดเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์เดียวที่ออกตัวสนับสนุนข้อเสนอนี้อย่างเปิดเผย ซึ่งเท่ากับเป็นกบฏ
ไม่กี่วันต่อมาเจ้าชายซาอุดได้หายตัวไป เจ้าชายคาเลด บิน ฟาร์ฮาน เชื้อพระวงศ์ซาอุดีอาระเบียอีกผู้หนึ่งซึ่งประทับที่เยอรมนีทรงเชื่อว่า เจ้าชายซาอุดถูกหลอกให้ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวของคู่เจรจาธุรกิจจากนครมิลานของอิตาลีไปยังกรุงโรม เพื่อหารือกับบริษัทร่วมทุนรัสเซีย-อิตาเลียนที่จะเข้ามาลงทุนในกลุ่มประเทศแถบอ่าวอาหรับ แต่ท้ายที่สุดเครื่องบินลำดังกล่าวกลับลงจอดในกรุงริยาดห์ ตามแผนการที่หน่วยข่าวกรองซาอุดีอาระเบียวางไว้
“ชะตากรรมของเจ้าชายซาอุดตอนนี้ก็เหมือนกับเจ้าชายตูร์กี คือต้องถูกจำคุกแน่นอน จุดหมายปลายทางของพวกเขามีเพียงที่เดียวคือคุกใต้ดิน” เจ้าชายคาเลดตรัสอย่างเศร้าสร้อย

เชื้อพระวงศ์เพียงผู้เดียวที่สามารถกลับมาบอกเล่าถึงชะตากรรมหลังการถูกลักพาตัวให้สาธารณชนได้ทราบ คือเจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี ซึ่งถูกบังคับนำตัวกลับประเทศไปเป็นรายแรก โดยหลังจากที่ต้องเสด็จย้ายไปมาระหว่างเรือนจำกับพระตำหนักซึ่งต้องทรงถูกกักบริเวณไว้ภายในนั้นหลายปี พระพลานามัยกลับทรุดโทรมลงอย่างมาก จนรัฐบาลต้องอนุญาตให้เสด็จไปรักษาพระองค์ที่เมืองบอสตันในสหรัฐฯได้
หลังเสด็จถึงสหรัฐอเมริกา เจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี ได้ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อศาลสวิตเซอร์แลนด์ในทันที โดยเอาผิดกับเจ้าชายอับดุลอาซิสและรัฐมนตรีเชค ซาเลห์ ในฐานะผู้ล่อลวงและลักพาตัวพระองค์กลับไปยังซาอุดีอาระเบีย ทนายความของเจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กีบอกว่า มีหลักฐานจากโรงพยาบาลที่ชี้ว่าระหว่างที่ทรงถูกลักพาตัวและหมดสติอยู่นั้น มีการสอดท่อเข้าไปในปากเพื่อช่วยหายใจ และกะบังลมข้างหนึ่งยังเป็นอัมพาตเพราะถูกทำร้ายในเหตุการณ์นั้น

ทนายความของเจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี ยังบอกว่า ทรงต้องการเอาผิดกับทางการสวิตเซอร์แลนด์ที่ปล่อยให้มีการตระเตรียมเครื่องบินไว้ลักพาตัวและบังคับนำคนออกนอกประเทศไปอย่างง่ายดาย แต่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่สวิสจะให้ความสนใจกับคดีของพระองค์น้อยมาก
เรื่องราวการลักพาตัวเจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ เพราะเมื่อปีที่แล้วขณะประทับที่กรุงปารีส ทรงตัดสินพระทัยเสด็จขึ้นเครื่องบินส่วนตัวที่สถานกงสุลซาอุดีอาระเบียเสนอให้บริการ เพื่อเสด็จไปพบกับพระบิดาในกรุงไคโรของอียิปต์ โดยไม่ทรงเกรงกลัวแม้แต่น้อยว่าประวัติศาสตร์จะเดินซ้ำรอย
หนึ่งในคณะผู้ติดตามรับใช้เจ้าชายสุลต่าน บิน ตูร์กี ในขณะนั้น เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลังว่า “สถานการณ์มันน่าสงสัยและน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ พนักงานบนเครื่องบินทุกคนเป็นชายฉกรรจ์ และมีกันหลายคนเกินความจำเป็น ในตอนแรกจอแสดงข้อมูลการบินในเครื่องบอกว่าเรากำลังมุ่งไปไคโร แต่สองชั่วโมงครึ่งหลังจากนั้นจอก็ดับไป”
เจ้าชายสุลต่านซึ่งเพิ่งตื่นบรรทมได้ทอดพระเนตรทิวทัศน์นอกหน้าต่าง พระพักตร์ถอดสีเมื่อแน่พระทัยแล้วว่าเครื่องกำลังจะลงจอดที่กรุงริยาดห์ ไม่ใช่กรุงไคโร ทั้งยังมีทหารพร้อมอาวุธครบมือรออยู่ที่ลานบินด้านล่าง
เจ้าชายทรงวิ่งไปทุบประตูห้องนักบินและร้องขอความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ทรงถูกลากตัวลงจากเครื่องบินไปในที่สุด ไม่มีใครได้ทราบข่าวคราวของพระองค์อีกเลยหลังจากนั้น
เจ้าชายคาเลด ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ซาอุดีอาระเบียในยุโรปเพียงพระองค์เดียวที่ยังเหลืออยู่ตรัสว่า “พวกเราที่เป็นกลุ่มเชื้อพระวงศ์ซึ่งวิจารณ์รัฐบาลเคยมีกัน 4 คนในยุโรป ตอนนี้เหลือผมแค่คนเดียว ผมเชื่อว่าจะต้องมีการวางแผนลักพาตัวผมไปอีกคนแน่นอน ผมต้องระวังตัวมาก แต่นี่คือราคาของเสรีภาพ”
BBCไทย