จักร์กฤษ เพิ่มพูล อดีตประธานสภาการหฟนังสือพิมพ์แห่งชาติ ระบุว่า วันนี้(20 ธ.ค.) คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ จะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ….และร่างพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ (ฉบับที่..) พ.ศ….อันมีเนื้อหาหลายประการที่สะท้อนความคิดแบบเผด็จการ ที่ต้องการกำกับ ควบคุมสื่ออย่างเบ็ดเสร็จ อีกทั้งมีเนื้อหาที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ จึงได้นำเสนอข้อมูล เพื่อยืนยันจุดยืนของลานนาโพสต์ทั้งระบบอีกครั้ง
ทั้งที่ข้อสั่งการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม เรื่องการปฏิรูปสื่อ ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย สอดคล้องมาตรฐานสากล โดยนำกฎหมายหรือแนวทางการดำเนินการของต่างประเทศมาประกอบการพิจารณา แต่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)อันมีพล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร เป็นประธาน ก็ยังพยายามเสนอกฎหมายในแนวคิดอำนาจนิยม ขัดแย้งกับคำสั่งการนั้น โดยไม่ได้พิจารณาประกอบแนวทางดังกล่าวแต่อย่างใด
ในประเทศเสรีประชาธิปไตย ทั่วโลกไม่มีประเทศใดเลย มีกฎหมายในลักษณะจำกัดสิทธิ ควบคุมบังคับ โดยเฉพาะการออกใบอนุญาตและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน แม้กระทั่งสภาการสื่อมวลชนอินโดนีเซีย ซึ่งมีฐานะเป็นองค์กรรัฐตามกฎหมาย ก็ยังใช้หลักการกำกับดูแลกันเอง (self regulation)
หลักการนี้เป็นมาตรฐานสากล และเป็นสิ่งที่อธิบายว่า การปฏิรูปสื่อนั้น ต้องเป็นการปฏิรูปด้วยองค์กรสื่อเอง ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐ เช่นที่นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวไว้ในปาฐกถา เรื่อง “การปฏิรูปสื่อกับเจตนารมณ์ของรัฐ” ในงานประชุมยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตวารสารศาสตร์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนั้น เป็นพื้นฐานของประเทศเสรีประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญของประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตยทุกฉบับ ล้วนบัญญัติรับรอง เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชนไว้ชัดเจน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับลงประชามติ มาตรา 34 บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน
มาตรา 35 บัญญัติว่า บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพจะกระทำมิได้
เสรีภาพของสื่อมวลชน ก็คือเสรีภาพของประชาชน เพราะบทบาทของสื่อมวลชน คือการตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เป็นประเด็นสาธารณะ การบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งการเป็นกระจกสะท้อนสังคมในเรื่องต่างๆ หากสิ่งเหล่านี้ถูกปิดกั้น ถูกควบคุมบังคับด้วยใบอนุญาตจากผู้มีอำนาจ ประชาชนก็อาจได้รับรู้ข้อมูล ข่าวสารเพียงด้านเดียวเท่าที่ผู้มีอำนาจต้องการให้รับรู้เท่านั้น และสังคมนี้ก็จะเป็นสังคมแห่งความมืดบอด ผู้มีอำนาจจะทำอะไร อย่างไรก็ได้ โดยไม่มีการถ่วงดุล ตรวจสอบ
เมื่อสาระสำคัญของความเป็นวิชาชีพสื่อมวลชน คือการวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น การจำกัดเสรีภาพนี้จึงไม่สามารถกระทำได้ และเป็นคนละเรื่อง คนละกรณีกับผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะ เช่น แพทย์ ทนายความ วิศวกร เพราะวิชาชีพเหล่านั้นต้องการความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หากไม่มีกำหนดการให้ใบอนุญาต ก็อาจส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อผู้เกี่ยวข้องได้
ในร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ.ซึ่งคณะกรรมาธิการสื่อสารมวลชนฯ สปท. เตรียมเสนอให้พิจารณาตราเป็นกฎหมายบังคับใช้นั้น มีเนื้อหาสำคัญที่แตกต่างจากร่างเดิมของคณะกรรมาธิการการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คือได้เพิ่มอำนาจหน้าที่ของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนภาครัฐโดยตำแหน่ง ให้มีอำนาจรับขึ้นทะเบียน ออกและเพิกถอนใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนด้วย
ถึงแม้ว่าโครงสร้างของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ จะประกอบด้วยหลายภาคส่วน ทั้งสื่อมวลชน ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และภาคประชาชน ก็นับว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งในการให้อำนาจกลุ่มบุคคลเพียงกลุ่มเดียวที่จะมาตัดสินสื่อมวลชนทั้งระบบ ด้วยมาตรฐานความรู้ความเข้าใจที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะหลักคิดในแบบตัวแทนรัฐ จำนวน 4 คน ได้แก่ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และปลัดกระทรวงการคลัง
หลักการนี้ไม่แตกต่างไปจากหลักการให้อำนาจ “เจ้าพนักงานการพิมพ์” กำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์อย่างเบ็ดเสร็จ ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ 2484 กฎหมายยุคเผด็จการ ซึ่งยกเลิกไปแล้ว
องค์กรสื่อ องค์กรวิชาชีพสื่อ ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อทั้งหลาย จะนิ่งดูดาย ยอมให้ อำนาจเบ็ดเสร็จตามกฎหมายฉบับนี้มาครอบงำความคิด คุกคามเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น อันเป็นหัวใจของการปกครองในวิถีประชาธิปไตยนี้ได้อย่างไร
อีกด้านหนึ่ง สภาองค์กรวิชาชีพสื่อ 6 องค์กรได่้ร่วมกันออกแถลงการณ์คัดค้านการขึ้นทะเบียนสื่อ และเพิ่มถอนใบอนุญาต