ปปช.-สตง.เรียกคืน 82 ล้านก่อสร้างมัสยิดกลางตรัง ยุค’กิจ หลีกภัย’

ป.ป.ช.-สตง. เรียกคืนค่าก่อสร้าง “มัสยิดกลางตรัง” 82 ล้านบาท จากงบก่อสร้างทั้งหมด 120 ล้านบาท หลัง หลัวเข้าตรวจสอบการก่อสร้างของ อบจ.ตรัง ที่ส่อการทุจริตไม่โปร่งใส

วันที่ 18 มี.ค. 68 ที่ห้องประชุมโรงแรมเรือรัษฎา จ.ตรัง นายบัณฑิต คณะสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ตรัง พร้อมด้วยนายยุทธนา วิมลเมือง หัวหน้าฝ่ายป้องกันและปราบปราม สำนักงาน ป.ป.ช.ตรัง และนายชัยวุฒิ สวัสดิรักษ์ ประธานชมรมตรังต้านโกง รวมทั้งคณะกรรมการชมรมตรังต้านโกง ได้มีการเรียกประชุม ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง ผู้อำการการฝ่าย องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง หัวหน้าสำนักงนคลัง กองช่าง และฝ่ายที่เกี่ยวด้านงบประมาณและการก่อสร้างองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง

เนื่องหลายโครงการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง มีความสุ่มเสี่ยง ไม่โปร่งใส ส่อเกิดการทุจริต มีหลายโครงการที่ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีการทุจริต เช่น การจัดงานลากเรือพระ การซื้อที่ดินสร้างท่าเรือนาเกลือ

ส่วนการก่อสร้างมัสยิดกลางตรัง ป.ป.ช.มีความเห็นว่าการก่อสร้างมัสยิดกลางตรัง ไม่ใช่หน้าที่ของ อบจ.ตรัง ซึ่งเห็นว่า อบจ.ตรัง ไม่มีอำนาจก่อสร้างเอง อีกทั้งที่ดินการก่อสร้างอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ซึ่งที่ผ่านมาพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีการส่งมอบ เพียงแต่ให้การสนับสนับหรือส่งเสริมการก่อสร้างอาจจะให้การส่งเสริมได้ ซึ่งล่าสุดทาง สตง.มีมติเรียกเงินการก่อสร้างมัสยิดกลางตรัง ด้วยงบประมาณกว่า 120 ล้าน โดยเรียกคืนจำนวน 82 ล้านบาท

นายบัณฑิต คณะสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ตรัง กล่าวว่า การก่อสร้างมัสยิดกลางตรัง ตามกฎหมาย อบจ.นั้น อบจ.มีอำนาจเพียงการส่งเสริมศาสนาหรือการบำรุงศาสนาเท่านั้น ฉะนั้นการที่ อบจ.ไปก่อสร้างมัสยิดเสียเอง จึงไม่เข้าตามหลักกฎหมาย ส่วนการที่ ป.ป.ช.และ สตง.มีความเห็นให้เรียกเงินงบประมาณการก่อสร้างคืนนั้น จะเรียนคืนจาก อบจ.หรือผู้บริหาร อบจ.ในขณะนั้น

ผอ.ป.ป.ช.ตรัง กล่าวว่า การคืนเงิน 82 ล้าน จะต้องเรียกคืนจากผู้ที่ละเมิด ฝ่าฝืนการก่อสร้าง ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งเรื่องนี้กรมบัญชีกลางจะเป็นผู้พิจารณา ส่วนเมื่อสร้างแล้ว จะมอบให้กรรมการกลางอิสลามตรัง ได้หรือไม่นั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างศึกษาข้อมูล เพราะคณะกรรมการกลางอิสลามตรัง เป็นภาคเอกชน จึงต้องดูว่า อบจ.เองก็มีอำนาจหรือไม่ ส่วนจะคุ้มค่าหรือไม่เมื่อสร้างแล้ว ก็ต้องศึกษาว่ามีความคุ้มแค่ไหน ที่เป็นห่วงคือเมื่อสร้างแล้วจะถูกทิ้งร้างเหมือนหลายๆโครงการของ อบจ.ตรัง

ด้านนายขันวุฒิ สวัสดิรักษ์ ประธานชมรมตรังต้านโกง กล่าวว่า จากข้อมูลที่ชมรมตรังต้านโกงร่วมลงพื้นที่ติดตามจากการร้องเรียนของพี่น้องประชาขนในเรื่องการก่อสร้างมัสยิดกลางประจำจังหวัดตรังของ อบจ.ตรัง นั้น ระเบียบการปฏิบัติของ อบจ.ที่กำหนดมาว่าในส่วนของการสนับสนุนส่งเสริมและทนุบำรุงศาสนาต่าง ๆ นั้น ให้ทำในลักษณะของการส่งเสริม ไม่ใช่เป็นการลงทุนก้อนใหญ่ในเรื่องของการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นวัด โบสถ์ มัสยิด ไม่ได้อยู่ในภาระหน้าที่ของ อบจ. ที่จะไปก่อสร้างสนับสนุนในศาสนาต่าง ๆ

ฉะนั้น ในการที่ อบจ.ตรังได้จัดงบฯ ก้อนใหญ่ไปในการก่อสร้างนี้ตามระเบียบคาดว่าน่าจะไม่ถูกต้องก็เลยต้องมีการดำเนินการในการตรวจสอบ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ให้กับหน่วยงานตรวจสอบ 2 หน่วย คือ สตง. และ ปปช. จังหวัดรับเรื่องในการตรวจสอบ ซึ่งทาง สตง.ก็ได้ชี้มูลมาแล้วว่า ทาง อบจ.ตรัง ต้องชดใช้เงินคืนให้กับทางรัฐ จำนวน 82 ล้านบาท

ในส่วนที่หลายฝ่ายกำลังจับจ้องว่า เงิน จำนวน 82 ล้านบาทนั้น จะเป็น อบจ. หรือ ทางผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องใครจะเป็นคนจ่ายเงินคืนส่วนนี้นั้น ทาง สตง.ได้ส่งเรื่องผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ส่งเรื่องผ่านไปยัง อบจ.ในการที่จะติดตามเงินคืน ซึ่งเงิน อบจ. คือเงินของประชาชนเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดที่เฝ้าดูติดตามโดยชมรมฯก็คาดว่าผู้ที่ต้องชดใช้คืนจากที่ สตง.เรียกเงินคืน 82 ล้าน บาทนั้น น่าจะเป็นผู้บริหารของ อบจ. หรือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ในการที่จะอนุมัติเอาเงินก้อนนี้ไปใช้ก่อสร้างมัสยิดครั้งนี้ที่จะต้องร่วมกันชดใช้คืนกับทาง อบจ.ที่จะได้นำเงิน 82 ล้าน ที่จะได้กลับคืนนั้นไปพัฒนาท้องถิ่นในด้านอื่นๆ ตามอำนาจและภาระหน้าที่ของ อบจ.ต่อไป

ในส่วนที่หลายคนมองว่าทาง อบจ. สามารถมอบมัสยิดให้กับทางคณะกรรมการกลางอิสลามนั้นได้หรือไม่ ตามที่คิดไว้มองว่าไม่น่าจะได้ เพราะคณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดนั้นเป็นองค์กรที่ไม่เรียกว่าเป็นหน่วยรับของราชการใดๆ ที่ประชุมของจังหวัดเราคาดว่า หน่วยรับที่ถูกต้อง น่าจะเป็นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่มากกว่า นั่นคือ เทศบาลทุ่งกระบือ อ.ย่านตาขาว ที่จะเป็นหน่วยรับงานนี้ ที่จะเอาไปใช้ประโยชน์ โดยจะใช้ประโยชน์อย่างไร โดยให้คณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดหรือว่าคนตรังที่นับถือศาสนาอิสลามมาใช้ประโยชน์ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง

ทั้งนี้ในส่วนปัญหาก็คือ การก่อสร้างที่มีปัญหา ต้องซ่อมแซมอยู่เยอะพอสมควรที่ยังไม่แล้วเสร็จสะเด็ดน้ำทั้งหมด ในขณะเดียวกันการส่งมอบการที่จะให้มีหน่วยงานหลักเข้าไปดูแล วันนี้ยังคงไม่ชัดเจนเท่าที่ควร ก็เลยทำให้การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ก็ยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย อันนั้นก็ยังจะเห็นอยู่ แต่หลังจากการแก้ปัญหาเหล่านั้นจบสิ้นแล้ว แม้ว่าเทศบาลทุ่งกระบือจะรับไปดูแลให้คณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดตรังมาใช้ประโยชน์ก็ไม่แน่ใจว่าการเข้าประโยชน์นั้นจะมีความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงไปหรือไม่

ซึ่งตามหลักของธรรมาภิบาลที่ดูแลอยู่คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดก็พยายามจะเน้นในเรื่องของความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุนไปในแต่บะงานอยู่ตลอดเวลาสำหรับพื้นที่ในจังหวัดตรัง เราพยายามที่จะมองประเด็นของความคุ้มค่าในการลงทุนอะไรก็ตามและการใช้ประโยชน์ให้มีความคุ้มค่ามากที่สุด สำหรับพี่น้องประชาชนโดยทั่วไป

ในขณะที่พื้นที่ก่อสร้างมัสยิดเป็นพื้นที่ป่าอยู่เดิม ยังไม่ได้เพิกถอนสภาพป่า วันนี้การแก้ปัญหาที่ชัดเจน และก็ง่ายที่สุด ก็คือ ทาง อบจ.ไปจอใช้พื้นที่ขั่วคราว ซึ่งมีการจออนุญาตได้ในระยะครั้งหนึ่งก็ 5 ปี ก็ต้องขออนุญาตต่อไปเรื่อยๆ ในการที่จะนำมาใช้ประโยชน์ เพราะว่าการจะไปเพิกถอนสภาพป่านั้นคงจะยุ่งยากมากกว่าการจอใข้พื้นที่ชั่วคราว ซึ่งทางชมรมฯ และทางผู้เกี่ยวข้องในส่วนของการพิจารณาก็เห็นชอบในส่วนนี้ น่าจะเป็นลักษณะของการขออนุญาตใช้พื้นที่มากกว่างการของ อบจ.หรือไม่

นายกิจ หลีกภัย อดีตนายกอบจ.ตรัง

สำหรับมัสยิดกลางจ.ตรัง อนุมัติงบประมาณสมัยนายกิจ หลีกภัย ดำรงตำแหน่งนายก อบจ.ตรัง ใช้งบประมาณผ่านสภาฯ เมื่อปี พ.ศ.2552 จำนวน 10 ล้านบาท ในการปรับพื้นที่ และอีก 25 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างตัวอาคารมัสยิดกลาง จ.ตรัง หรือ โครงการก่อสร้างศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามประจำ จ.ตรัง หมู่ที่ 1 ต.ทุ่งกระบือ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง ซึ่ง อบจ.ตรัง มีการเบิกจ่ายงบประมาณในการปรับปรุงสถานที่ไป 82,184,972 บาท