แทนคุณ พึ่ง ‘วันนอร์’ ยื่นสอบ “ทนายธรรมราช” ดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนาอิสลาม สร้างความแตกแยกในสังคม ใครวิจารณ์เรียกค่าเสียหาย 3 หมื่น-3 แสน สงสัยคนแบบนี้ไม่มีใครทำอะไรได้เลยหรือ มั่นใจจะหาทางหยุดพฤติกรรมแบบนี้ให้ได้ ขู่หากไม่หยุดก็ไม่มีโอกาสแก้ตัวและต้องถูกดำเนินคดี
เมื่อเวลา 10.10 น. วันที่ 12 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พร้อมด้วยตัวแทนชาวอิสลาม ชาวซิกส์ ชาวฮินดู เข้ายื่นหนังสือถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้รับยื่นหนังสือ เพื่อขอให้หยุดพฤติกรรมยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกในสังคม เนื่องจากมีการดูหมิ่นศาสนาอิสลาม จาก ทนายธรรมราช สาระปัญญา ที่มีพฤติกรรมดูหมิ่น เหยียดศาสนาและการมีส่วนร่วมในการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ สร้างความแตกแยก ตื่นตระหนกแก่ประชาชน เผยแพร่โจมตีศาสนาอิสลามผ่านสื่อ โดยมีพฤติกรรม
การทำรูปภาพชายแต่งกายโพกผ้าสะระบั่นขี่หมู และมีข้อความกำกับว่า กำลังไปช่วย ซึ่งภาพดังกล่าวนั้น วิญญูชนทั่วไปที่ได้เห็นก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่า เป็นภาพที่มีมุสลิมชายผู้เคร่งครัดในศาสนาขี่หมู ซึ่งการแต่งกายในรูปเป็นลักษณะของมุสลิมที่เคร่งครัดในศาสนาโดยดังกล่าวโพสต์หน้าเฟซบุ๊กเปิดเป็นโพสต์สาธารณะ แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมเหยียดหยามศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน และไม่ให้เกียรติ พี่น้องชาวมุสลิมไทยและมุสลิมทั่วโลกรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
ปรากฏการโพสต์ข้อความอีกว่า “นี่หรือคือแดนดินถิ่นอิสาน ที่สวยงามด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี ท่านเห็น 3 จังหวัดชายแดนไหมครับ ว่าชาวพุทธและพระสงฆ์อยู่ได้มั้ย” พร้อมใส่รูปผู้หญิงมุสลิมแต่งกายตามศาสนา ถ่ายรูปอยู่หน้ามัสยิดในจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งการกระทำดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกตกใจ และเกิดความ กลัวหวาดระแวง นำไปสู่ความแตกแยกระหว่างศาสนา เนื่องจากในปัจจุบันมีพี่น้องชาวไทยโดยเฉพาะชาวอีสานเดินทางไปทำงานในพื้นที่ที่นับถือศาสนาอิสลามจำนวนมาก
นายแทนคุณกล่าวว่า ดังนั้น เป็นที่ชัดเจนว่าทนายธรรมราชกำลังปลุกปั่นให้ประชาชนเกิดความแตกแยกระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลาม เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ โจมตีศาสนาอิสลามโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่คำนึงถึงวิชาชีพทนายความที่อยู่ในกรอบของบ้านเมืองเคารพกฎหมาย ให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ เคารพสิทธิ์ซึ่งกันและกัน ปัจจุบันทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้ฉันพี่น้อง และอยู่ร่วมกันมาโดยตลอดด้วยการเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ดังนั้น การเหยียดศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นการกระทำที่ผิดต่อศีลธรรมอันดีของปวงชนชาวไทยอย่างใหญ่หลวง จึงเห็นว่าหากปล่อยให้ทนายธรรมราชใช้วิชาชีพทนายความมาสร้างกระแสความเกลียดชังกันในศาสนาเช่นนี้อีกต่อไป อาจนำมาซึ่งความแตกแยกระหว่างประชาชนคนไทยพุทธและไทยมุสลิม และหากปล่อยให้ทนายธรรมราชกระทำการแบบนี้ต่อ ก็จะเกิดความแตกแยกรุนแรงบานปลายไปมากกว่านี้ จึงได้มายื่นเรื่องให้ประธานสภาดำเนินการทั้งทางอาญาและทางปกครอง เพื่อให้เกิดความสงบสันติในสังคม
เมื่อถามว่า ทำไมมายื่นเรื่องนี้สภาฯ นายแทนคุณกล่าวว่า ที่ผ่านมาเราทำทุกทาง โดยได้ไปที่สภาทนายความมาแล้ว แต่การทำงานที่สภาทนายความมีความล่าช้าที่สุด อย่างน้อย 6 เดือน อย่างมากใช้เวลาเป็นปี เนื่องจากต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาและมีหลายขั้นตอน รวมทั้งมีเรื่องร้องเรียนที่ค้างอยู่อีกจำนวนมาก และตนก็ได้เดินทางไปแจ้งความที่กองปราบแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาเช่นเดียวกัน ดังนั้น ในฐานะเป็นคนการเมืองจึงมองว่าการมายื่นที่สภาน่าจะเป็นช่องทางที่เร็วที่สุด เพราะเห็นว่าเรื่องศาสนา สภาเกี่ยวโดยตรงเนื่องจากศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของรัฐ เพราะจะส่งผลกระทบต่อคนไทยที่ทำงานในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก และหลายพื้นที่เข้าสู่สภาวะสงครามจะทำให้มีความเสี่ยง
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว หรือเฉพาะศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แม้แต่พระพุทธศาสนายังมีเรื่องเชื่อมจิตที่ไม่มีในพระไตรปิฎก และสิ่งที่ทนายคนดังกล่าวทำต่อไปคือถ้าใครมาวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความเห็นต่างๆ เข้าข่ายเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทก็จะไปฟ้อง และเรียกค่าเสียหายคนละ 3 หมื่น-3 แสนบาท ซึ่งการกระทำแบบนี้ผมคิดว่าไม่ใช่เจตนาสุจริตและไม่ใช่เรื่องปกติวิสัย ตราบใดที่ยังมีขบวนการนี้อยู่ ผมก็ต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด แม้ผมจะนับถือศาสนาพุทธ ก็ยังเอาผมไปด่าว่าเป็นมุสลิม ซึ่งผมไม่ได้ถือโกรธอะไร เพราะไม่ได้รังเกียจหรืออคติกับศาสนาใด แต่การที่ไปตีตราว่าใครก็แล้วแต่ไปเคลื่อนไหวในการช่วยเหลือพี่น้องต่างศาสนา แล้วต้องเป็นศาสนาเขา และรับเงินรับทอง ผมคิดว่าเป็นข้อใส่ร้ายที่โหดเหี้ยมและเป็นการยุยงปลุกปั่นที่ไม่ควรให้อภัย” นายแทนคุณกล่าว
นายแทนคุณกล่าวว่า ดังนั้น เราไม่ควรปล่อยปละละเลยให้มีกระบวนการเสี้ยมหรือปลุกปั่น ในการทำให้เกิดความแตกแยกทางศาสนา โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรัฐธรรมนูญก็รับรองสิทธิเสรีภาพ บุคคลใดจะนับถือศาสนาใดก็ได้ และสามารถไปได้ทั่วประเทศไทยอย่างมีเสรีภาพ และมีการตั้งมัสยิดที่จังหวัดร้อยเอ็ด ทนายคนดังกล่าวก็ไปโพสต์ว่าเห็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่อีสานหรือไม่ การทำเช่นนี้แปลว่าอะไร นี่คือสิ่งที่ตนต้องมาดำเนินการเรื่องนี้บ่อยๆ เพราะเขายังไม่หยุด และสงสัยว่าทำไมไม่มีใครดำเนินการเขาได้เลยหรือ หรือประเทศนี้ไม่มีใครหยุดพฤติกรรมการปลุกปั่นแบบนี้ได้เลย ตนไม่เชื่อ และตนจะทำให้สำเร็จให้ได้ ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่งก็ตาม และถ้าไม่หยุดท่านเองอาจจะไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีก อาจจะต้องถูกดำเนินคดีในหลายพื้นที่