ตรวจสอบเข้ม โค้งสุดท้าย ใครเข้าวิน ใครสอบตก ส่อหลุด รมต. ครม.อุ๊งอิ๊ง

13

สแกนเข้มคุณสมบัติ ว่าที่รมต. “มาตรฐานจริยธรรม” โค้งสุดท้าย ใครเข้าวิน – ใครสอบตก ส่อหลุด รัฐมนตรีก่อนทูลเกล้าฯ ครม.แพทองธาร 1

ใกล้คลอดแล้วสำหรับรายชื่อ ครม.อุ๊งอิ๊ง1 โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร โดย ยืนยันว่า ครม.ชุดนี้ไม่มีเซอร์ไพรส์ พร้อมลงรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ภายในสัปดาห์นี้ ล่าสุด ชาดา ไทยเศรษฐ์ ถอดตัว จาก โผ ครม.แล้วโดยจะส่ง นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ บุตรสาว มาสานงานต่อ

ในขณะที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล ก็ออกมาบอกว่า ไม่เกินวันที่ 15 ก.ย.จะมี ครม.ใหม่ ส่วนประเด็นเกี่ยวกับปัญหาจริยธรรมนั้น มองว่าไม่น่ามีข้อกังวล เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการตรวจสอบอย่างรัดกุม

ล่าสุดยังมีการเปิดข้อมูล อาจมีว่าที่รัฐมนตรีที่ “สอบตกคุณสมบัติ” โดยเฉพาะ “มาตรฐานจริยธรรม” มากถึง 11 คน จำนวนนี้ แบ่งเป็นพรรคเพื่อไทย 3 คน , พรรคภูมิใจไทย 3 คน, พรรคประชาธิปัตย์ 2 คน รวมไทยสร้างชาติ 1 คน และกลุ่มการเมือง 2 คน

จำนวนนี้มีทั้งที่เปิดชื่อไปแล้ว “5 ราย” และยังไม่เปิดชื่อ แยกเป็น กลุ่มที่มีคำร้องหรือข้อกล่าวหาอยู่ในคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในชั้นไต่สวน ยังไม่ได้ชี้มูลความผิดใดๆ

มีเพียงคนเดียวที่ชี้มูลความผิดทางวินัยไปแล้ว คือ พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ จากพรรคภูมิใจไทย สมัยดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผบ.ตร. กรณีไม่ได้ทำความเห็นแย้ง “คำสั่งไม่ฟ้อง” วรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส” ในคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิต แต่ถูกชี้มูลความผิดวินัยไม่ร้ายแรง ไม่เข้าข่ายขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามกฎหมาย

ส่วนอีก 4 รายที่เหลือ เป็นกลุ่มที่มีคำร้องอยู่ใน ป.ป.ช. มีทั้งแคนดิเดตรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย โดย 1 ใน 3 คน มีความเชื่อมโยงกับคดีปาล์มอินโดฯ ซึ่ง ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาผุู้เกี่ยวข้องไปเมื่อเดือน เม.ย.2566

รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ เช่น “นายกชาย” เดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีชื่อเป็นแคนดิเดต รมช.สาธารณสุข เคยถูกเชื่อมโยงกรณีปรากฎภาพถ่ายร่วมเฟรมกับ “โทนี่ เตียว” ผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน รวมถึงกรณีพี่สาวและเครือญาติโดนคดีบุกรุกโบราณสถานเขาแดง จ.สงขลา

หรือกรณี เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าที่ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่เคยมีกรณีคนใกล้ชิด ทั้งเลขาฯ ส่วนตัว และ “หลี่ เซิ่ง เจียว” หรือ “เฮียเก้า”นายกสมาคมการค้าแลกเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยเอเชีย รวมถึง “ลูกชาย” คือ “เจิ้ง เจียว ลี่”หรือ “กรินทร์ ปิยพรไพบูลย์” ซึ่งนามสกุลเดียวกันกับ “วิรัช ปิยพรไพบูลย์” พี่ชายแท้ๆ ของของ“เฉลิมชัย มีชื่อเชื่อมโยงคดีหมูเถื่อน-ตีนไก่เถื่อน

นอกจากนี้ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ยังเคยถูกตั้งคำถามเรื่องการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เมื่อครั้งเข้าดำรงตำแหน่ง รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาล “ลุงตู่” เกี่ยวกับที่ดิน ภบท.5 ที่ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 120 ไร่ ซึ่งไม่ตรงกับที่เคยยื่นแสดงเอาไว้ก่อนหน้านั้น สมัยที่ดำรงตำแหน่ง สส.

โดยในขณะนั้น นายเฉลิมชัย บอกเพียงว่า ได้ ชี้แจง ป.ป.ช.ไปหมดแล้ว ซึ่ง ป.ป.ช.ไม่สามารถจะทำให้ทรัพย์สินหายไปโดยที่ไม่มีหลักฐานได้ เพราะทาง ป.ป.ช.ก็เข้าไปตรวจแล้วจริงๆ ตามข้อมูลหลักฐานว่า ที่ดินดังกล่าวนั้นหายไปแล้วจริง โดย ไม่ยอมบอกรายละเอียด ว่าที่ดินดังกล่าว ขาย หรือ ยกให้บุคคลอื่น จึงไม่ต้องแสดงในบัญชีทรัพย์สิน ป.ป.ช.ในครั้งต่อ ๆ มา

โดยก่อนหน้านี้นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึง ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ด้วยเรื่องดังกล่าวมีเหตุควร ป.ป.ช. ตรวจสอบว่า ที่ดิน ภบท.5 ดังกล่าว ที่ไม่มีอยู่ในบัญชีนั้น ขายหรือโอนให้ใคร ในราคาเท่าใด โดยวิธีใด และมีการเสียภาษี หรือไม่

ขณะที่ “นายกชาย” เดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถูกกล่าวหาหลายเรื่อง

1. กรณีร้ายแรงสุด คือการออกมาเปิดเผยของเลขาธิการ ป.ป.ช. ว่ามีเรื่องร้องเรียน ถูกไต่สวนอยู่ใน ป.ป.ช.

กรณีเกี่ยวข้องกับการลักลอบค้าน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคใต้ ทางเลขาธิการ ป.ป.ช. ก็ยืนยันชัดเจนว่า คำร้องหรือข้อกล่าวหานี้ ยังอยู่ระหว่างการไต่สวน ยังไม่มีการชี้มูล จึงไม่มีผลทางกฎหมาย และยังไม่ได้สรุปว่ามีมูลความผิดแต่อย่างใด แต่ประเด็นนี้ก็น่าคิดว่าเข้าข่ายละเมิดมาตรฐานจริยธรรม หรือส่งผลต่อการรับรู้ของวิญญูชนทั่วไปหรือไม่

2. ร้ายแรงรองลงมา ก็คือ การที่มีภาพถ่ายร่วมเฟรมกับ “โทนี่ เตียว” ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินผิดกฎหมาย อยู่ในเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดนออกหมายจับ เป็น “หมายแดง” ของตำรวจสากล หรือ “อินเตอร์โพล” เพราะทั้งรัฐบาลมาเลเซีย และรัฐบาลจีน ต้องการตัว ล่าสุดทางการไทยส่งตัวให้รัฐบาลจีนไปดำเนินคดีต่อ

นายโทนี่ เตียว ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวพันกับธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และบ่อนการพนันในพื้นที่ด่านนอก ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งมีแกนนำพรรคการเมืองใหญ่ในภาคใต้ ใช้พื้นที่สถานบริหารขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นสำนักงาน และเป็นเซฟเฮาส์ในการประชุม หรือพบปะผู้สนับสนุนในพื้นที่ด้วย

3. มีการขุดคดีเก่าที่เคยมีการกล่าวหา “นายกชาย” ตั้งแต่สมัยยังใช้ชื่อเก่า ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่ือ คือ ใช้ชื่อเดิมว่า “วรวิทย์ ขาวทอง” โดยเมื่อปี 2548 เคยถูกกล่าวหาจาก กองคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่า นายวรวิทย์ ขาวทอง หรือ “นายกชาย” มีความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร และสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดโดยร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต

ดีเอสไอ ทำสำนวนการสอบสวน ก่อนสรุปส่งให้อัยการฝ่ายคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2549 ทว่าอัยการสั่งไม่ฟ้อง และ ส่งสำนวนคืนให้ดีเอสไอ ภายหลังคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ของดีเอสไอ เห็นพ้องด้วยกับอัยการ คือ “สั่งไม่ฟ้อง” เมื่่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2550

งานนี้ต้องบอกว่า “นายกชาย” เป็นผู้บริสุทธิ์ จะไปบอกว่าผิดไม่ได้ แต่คดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องก็มีความเสี่ยง เพราะ พิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อัยการก็มีคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด ในคดีเสนอสินบนตุลาการเช่นกัน แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับมองว่า วิญญูชนไม่เชื่อว่า คุณพิชิต ไม่ได้กระทำผิดจริงๆ จึงน่าคิดว่า กรณีของ “นายกชาย” จะถูกร้องเรียนเรื่องมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่

เพราะในแวดวงการเมืองพื้นที่ภาคใต้ ก็ทราบกันดีว่า การถูกกล่าวหาของ “นายกชาย” ในยุคนั้น สมัยยังใช้ชื่อเก่า “วรวิทย์ ขาวทอง” เป็นช่วงรัฐบาลพรรคไทยรักไทย มีนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล และฆ่าตัดตอนยาเสพติด ปรากฏว่า มีข่าว “นายกชาย” มีชื่อถูกขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลด้วย และถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจาก ดีเอสไอ

แต่ภายหลังคดีสั่งไม่ฟ้อง จึงรอดมาได้ แถมยังได้ ลง สส.ในนาม พรรคไทยรักไทย แต่พ่ายแพ้พรรคประชาธิปัตย์ กระทั่งเบนเข็มมาลงการเมืองท้องถิ่น ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งนายก อบจ. แล้วย้อนกลับมาเล่นการเมืองระดับชาติกับประชาธิปัตย์อีกรอบกระทั่งปัจจุบัน เตรียมแต่งตัวเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย