“ชวน หลีกภัย” ยืนยัน การคัดค้านไม่ให้ ปชป.เข้าร่วมรัฐบาล พท. ทำเพื่อปกป้องเกียรติภูมิ ชี้ พท.มีแนวทางเลือกปฏิบัติ กับ ปชช. และเป็น พรรคการเมืองที่มีข่าวทุจริตมากที่สุด ย้ำที่ผ่านมาสร้างผลงานไว้มาก เป็นผู้สนับสนุนพรรค ไม่ใช่ทำลาย ปชป.
“ที่ผมต้องออกมาพูด ก็เพื่อพยายามปกป้องเกียรติภูมิของพรรค มิให้เสื่อมเสีย ผมอยู่พรรค อยู่การเมืองมา 55 ปี ย่อมซึบซับ รับรู้และผูกพันกับพรรค คนประชาธิปัตย์รุ่นก่อนๆสร้างอุดมคติ อุดมการณ์พรรคมายาวนาน เกือบ 80 ปี คนรุ่นหลังได้อาศัยชื่อเสียงบารมีพรรค คุณงามความดีผลงานของพรรคที่คนรุ่นก่อนๆสร้างสะสมมา
ผมไม่อยากให้พรรคมีเรื่องเสื่อมเสีย เสียเกียรติภูมิ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นสถาบันทางการเมือง ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาสนับสนุนใครแล้วเลิกไป ดั้งเดิมมาพรรคประชาธิปัตย์ทำงานการเมือง สร้างผลงานทำให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นที่เชิ่อถือ ศรัทธา เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชน สร้างคนสร้างพรรคให้เติบโต ไม่คิดแค่เป็นพรรครอร่วมรัฐบาล
ผมเป็นนักการเมืองรุ่นเก่า ที่ตั้งใจเข้ามาทำงานการเมืองแก้ปัญหาให้ประชาชนและบ้านเมือง ไม่คิดเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จึงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณประชาชน และเป็นหนี้พรรคประชาธิปัตย์ ที่ให้โอกาส สมัยก่อนคนของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีศักยภาพแม้ไม่มีเงินก็เป็นที่ยอมรับ ไม่เช่นนั้นคนอย่างผมคงไม่มีโอกาสเป็นหัวหน้าพรรค และ ทุกคนช่วยกันสร้างพรรคให้เป็นที่ยอมรับด้วยศรัทธา สส.พรรคแต่ละคนมีความคิดเห็น มีเกียรติศักดิ์ศรี มีความรู้ประสบการณ์มีเหตุผลเป็นของตน ไม่อยู่ใต้อาณัติคำสั่งใคร แต่เดี๋ยวนี้ความคิด อุปนิสัยคนเปลี่ยนไป ใครดูแลก็เชื่อฟังคนนั้น
ผมยืนยันในหลักการ จุดยืนส่วนตัว ด้วยเหตุผลหลายประการ ที่ได้กล่าวไปแล้ว การที่ประจักษ์ชัดว่า พรรคการเมืองพรรคนี้ (เพื่อไทย) มีแนวทางการเลือกปฏิบัติกับประชาชนที่ไม่สนับสนุนตน ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลไหนทั้งในประเทศและต่างประเทศเคยทำ เป็นพรรคการเมืองที่มีรัฐมนตรีถูกกล่าวหาในคดีทุจริตมากที่สุด และปัจจุบันยังคงมีค้างอีกหลายคดี นอกจากนั้น ขณะเสียงของรัฐบาลเขาก็มีเพียงพอ เขาก็ไม่ได้เชิญเราตั้งแต่ต้น และการทำหน้าที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านก็สามารถทำประโยชน์ให้บ้านเมือง สร้างผลงานเชื่อถือเรียกศรัทธาได้ การที่าพรรคประชาธิปัตย์จะไปร่วมงานกับพรรคใดต้องคิดให้ดี เราไม่ได้มีความแค้น ขัดใจขัดแย้งกับใครเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
นอกจากนี้ผมยังไม่เห็นด้วยกับพรรคการเมืองที่มีแนวนโยบายประชานิยมไม่ยั่งยืน นำประเทศไปเสี่ยงทางการเงินการคลังดังที่เป็นข้อห่วงใยในปัจจุบัน
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์นั้น นโยบายที่ทำมา เป็นผลงานพัฒนาที่ไม่หวือหวา แต่ยั่งยืน ที่หลายคนอาจลืมไปแล้ว เช่น การพัฒนาการคมนาคม เริ่มต้นถนนสี่เลนทั่วประเทศ การพัฒนาขนส่งระบบราง สมัยผมเป็นนายกรัฐมนตรีเริ่มต้นโครงการรรถไฟทางคู่ ซึ่งการรถไฟเคยระบุว่า เป็นการพัฒนารถไฟไทยครั้งสำคัญ อย่างที่ไม่มีใครทำมาก่อนนับต่อหลังจากรัชสมัยในหลวง ร.5 ที่ทรงพระราชทานกำเนิดรถไฟไทยนำสมัยที่สุดในภูมิภาค โดยการรถไฟไทยสมัยนั้นได้มอบเหรียญทองให้ผม ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้สนับสนุนผลักดันนโยบาย และ มอบให้ พ.อ.วินัย สมพงษ์ รัฐมนตรีคมนาคม
เสียดายว่ารัฐบาลต่อมาไม่สานต่อเรื่องรถไฟทางคู่ เพราะเป็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ จึงทำให้การพัฒนารถไฟทางคู่ในประเทศล่าช้า จนมาถึงสมัยรัฐบาล นายกอภิสิทธิ์ จึงเริ่มต้นอีกครั้ง จนถึงวันนี้จึงมีความก้าวหน้าพัฒนามากขึ้น หรือ นโยบายเบี้ยผู้สูงอายุ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์สมัยผมเป็นนายกรัฐมนตรีได้เริ่มต้นไว้ โดยให้เฉพาะคนที่ยากลำบาก และมาได้เบี้ยผู้สูงอายุถ้วนหน้าสมัยรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ สมัยนายกฯทักษิณ ไม่เคยเพิ่มให้สักบาทเดียว หรือ นโยบายกองทุนหมุนเวียนเงินทุนในหมู่บ้าน
สมัยผมเป็นนายกฯ ได้ทำโครงการเงิน กขคจ. (กองทุนแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบท) ให้เป็นทุนกู้ยืมหมุนเวียนในหมู่บ้าน ที่มีความจำเป็น และให้มีการบริหารยั่งยืนไม่เหวี่ยงแห จนถึงบัดนี้กองทุน กขคจ.ยังมีอยู่ กรือแม้กระทั่งเรื่องการดูแลสุขภาพประชาชน สมัยผมเป็นนายกฯผู้สูงอายุ เด็ก รักษาฟรี ประชาชนทั่วไปมีบัตรสุขภาพครอบครัว 500 บาท/ปี คิดแล้วอาจประหยัดกว่า30 บาท/คน/ครั้ง และไม่กระทบต่อสภาพการเงินของโรงพยาบาล ฯลฯ
ผมยืนยันในจุดยืนและหลักการที่เคยกล่าวไว้ว่าไม่เห็นด้วยที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แม้จะเป็นเสียงส่วนน้อย แต่เสียงส่วนใหญ่ ก็ไม่ใช่ความถูกต้องเสมอไป ถ้าประชาชนและสมาชิกพรรคติดตาม ก็จะเห็นความจริงว่า คนพรรคประชาธิปัตย์อย่างผม เป็นผู้มีส่วนสร้างสนับสนุนพรรค มิใช่ผู้ทำลายพรรค”