‘เรืองไกร’ ท้า ‘อุ๊งอิ๊ง’ โชว์หลักฐานลาออกจากกก. 20 บริษัทก่อนรับเก้าอี้นายกฯ

8

‘เรืองไกร’ ส่งหนังสือทาง EMS ขอให้ ‘แพทองธาร’ แสดงเอกสารยืนยันลาออกจากกรรมการ 20 บริษัท ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรีจริงหรือไม่ ชี้พิรุธทั้ง 20 บริษัทมีที่ตั้งทั้งในกรุงเทพฯ ปทุมธานี นครราชสีมา ลำพูน ไปจดทะเบียนลาออกภายในวันเดียวได้อย่างไร

วันที่ 30 ส.ค. 2567 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้แสดงหลักฐานต่อสาธารณะเกี่ยวกับการลาออกจากกรรมการบริษัทต่างๆ รวม 20 บริษัท ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ก่อนได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ลงนามในหนังสือลาออกทั้ง 20 บริษัท จริงหรือไม่ มีสำเนาใบลาออกที่ลงรับโดยแต่ละบริษัท โดยถูกต้องตามวันและเวลาหรือไม่

สำหรับการทำหนังสือวันนี้ มีเหตุมาจากที่นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าว เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2567 ถึงกระแสข่าวที่ได้ลาออกจากกรรมการบริษัท ในเครือชินวัตร จำนวน 20 บริษัท นั้นจริงหรือไม่ ว่า “ไม่แน่ใจว่าลาออกไปกี่บริษัท แต่ยืนยันว่า อะไรที่ทำแล้ว และขัดต่อกฎหมายก็ต้องดำเนินการให้หมด ซึ่งขณะนี้ทีมกฎหมายกำลังช่วยกันดำเนินการ แต่จะกี่บริษัทนั้น ไม่แน่ใจ ขอดูกฎหมายเป็นหลัก”

นายเรืองไกร กล่าวว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีไม่แน่ใจว่าลาออกไปกี่บริษัท ตนจึงขอคัดเอกสารจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาตรวจดู พบว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ลาออกจากกรรมการบริษัทต่างๆ รวม 20 บริษัท โดยทั้ง 20 บริษัท ซึ่งทั้งหมดไปจดทะเบียนวันที่ 19 สิงหาคม 2567 ระบุตรงกันว่า “ให้แก้ไขเพิ่มเติมจำนวนกรรมการของบริษัท เป็นดังนี้ กรรมการออกจากตำแหน่ง 1 คน คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร และในแบบคำรับรองการจดทะเบียนบริษัทจำกัด ระบุว่า ได้มีหนังสือลาออกจากตำแหน่งกรรมการของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2567 บริษัทได้รับเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567”

โดยบริษัททั้ง 20 แห่ง มีที่ตั้งสำนักงานใหญ่ต่างกัน คือ มี 14 บริษัท ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร , มี 2 บริษัท ตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี, มี 1 บริษัท ตั้งอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา และ มี 3 บริษัท ตั้งอยู่ในจังหวัดลำพูน

นายเรืองไกร กล่าวว่า การไปจดทะเบียนว่าบริษัททั้ง 20 แห่ง ได้รับหนังสือลาออกในวันเดียวกัน คือ วันที่ 15 ส.ค. นั้น จึงน่าสงสัยว่า หนังสือลาออกที่แต่ละบริษัทระบุว่าได้รับเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 จริงหรือไม่ เหตุใดจึงไปจดทะเบียนวันที่ 19 สิงหาคม 2567 จึงควรมีการนำหลักฐานมาแสดงให้ดูว่า แต่ละบริษัทได้รับหนังสือลาออกอย่างไร มีการลงเลขที่รับ และวันเวลาไว้หรือไม่

“จากคำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีที่ยืนยันว่า “อะไรที่ทำแล้ว และขัดต่อกฎหมายก็ต้องดำเนินการให้หมด ซึ่งขณะนี้ทีมกฎหมายกำลังช่วยกันดำเนินการ แต่จะกี่บริษัทนั้น ไม่แน่ใจ” นั้น เพื่อพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับการลาออกจากการเป็นกรรมการใน 20 บริษัทดังกล่าว จึงขอให้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทีมกฎหมายนำเอกสารออกมาโชว์หรือแสดงต่อสาธารณะได้ทันที เพื่อให้แน่ใจว่า มีการลาออกจริงตามวันเวลาดังกล่าว และสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันต่อ กกต. ตามที่ได้มีการยื่นตรวจสอบไปแล้วด้วย” นายเรืองไกร ระบุ

ทั้งนี้ หากการลาออกถูกต้องตามวันเวลาดังกล่าวจริง ก็ไม่มีปัญหาต่อการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่หากการลาออกมีการทำเอกสารย้อนหลัง หรือลาออกจริงหลังจากวันที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็อาจมีประเด็นให้ กกต. ตรวจสอบว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องสิ้นสุดลงเฉพาะตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่.