“วัชระ” ชี้ มีเงื่อนงำปม ตร.ออกหมายเรียก “เอกณัฎ”เป็นพยานให้ “ทักษิณ” สู้คดี112

82

“วัชระ” สวน “อรรถวิชช์” ชี้ถ้า “ทักษิณ” ไม่อ้างชื่อ “เอกนัฏ” ตำรวจจะออกหมายเรียกไปทำหน้าที่เป็นพยานฝ่ายทักษิณได้อย่างไร ย้อนให้กลับไปดู “ปปง.” ทำไมประกาศยึดที่ดิน”อรรถวิชช์”

วันที่ 25 สิงหาคม 2567 นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึง กรณีที่ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ออกมายอมรับว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)มีหมายเรียกให้นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรคไปให้ปากคำคดี ม.112 ที่ นายทักษิณ ชินวัตร พูดที่ประเทศเกาหลีใต้นั้น ต้องถามนายเอกนัฏว่าไปในฐานะอะไร เป็นราชบัณฑิต เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ หรือ เป็นตัวพยานที่นายทักษิณกล่าวอ้างในหนังสือขอความเป็นธรรมให้สอบพยานเพิ่มเติมฝ่ายนายทักษิณ ที่มีรายชื่อนายเอกนัฏและนายทหารระดับพลเอกนั้น

ถ้าอ้างว่าไปตามหน้าที่ตามกฎหมาย เหตุไฉนจึงไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนตั้งแต่ต้น และ เหตุใดจึงไปให้การเข้าข้างนายทักษิณ ถ้านายทักษิณ ผู้ต้องหาไม่ระบุชื่อนายเอกนัฏตำรวจจะออกหมายเรียกให้ไปเป็นพยานหรือ ทำไมไม่เรียก นายวัชระ เพชรทอง ไปเป็นพยานบ้าง แสดงว่านายทักษิณกับพวกมีการเตรียมรายชื่อพยานทั้งหมดมาก่อน ตำรวจจึงออกหมายเรียกนายเอกนัฏไปให้การต่อหน้าตำรวจและอัยการ เพราะเป็นคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรและเมื่อนายเอกนัฏไปให้การ ก็สามารถไม่ให้การหรือบอกไม่รู้ไม่เห็นก็ได้ แต่ที่น่าสงสัยในพฤติกรรม คือเหตุใดไปให้การเข้าข้างทักษิณ เป็นประโยชน์อย่างมากกับทักษิณ บอกว่าคำพูดของทักษิณไม่เข้ามาตรา 112 นั้น

นายเอกนัฏ ต้องตอบคำถามประชาชนที่สงสัยว่า มีสิ่งใดไปดลบันดาลใจให้นายเอกนัฏไปให้ปากคำเช่นนั้น ทั้งที่นายเอกนัฏ เป็นเลขาธิการ กปปส. ผู้นำเป่านกหวีดต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ระบอบทักษิณ จนมีคนตาย 25 คน บาดเจ็บสุทธิ 782 คน วิญญาณของผู้บริสุทธิ์ที่ตายไปเพราะระเบิดและอาวุธปืนจะเป็นสุขหรือ สื่อมวลชนพาดหัวว่าหมดเงินไป 4 พันล้านบาท ผู้บริจาคเงินจะคิดอย่างไร มวลชนเสียสละเวลาเสียสละทรัพย์เข้าร่วมประท้วงจะคิดอย่างไร

การที่ นายอรรถวิชช์มาพูดว่า มิใช่การเสนอตัวไปให้การเองนั้น นายอรรถวิชช์ ไปโกหกที่อื่นเถอะครับ ถ้าไม่ใช่การเสนอตัวหรือถูกครอบงำ สมยอมมาตั้งแต่ต้นจะมีชื่อ นายเอกนัฏ ในหนังสือขอความเป็นธรรมของนายทักษิณได้อย่างไรและเมื่อตำรวจสอบพยานที่นายทักษิณอ้างทุกปากแล้ว อัยการสูงสุดก็ยังสั่งฟ้องตามอัยการสูงสุดท่านที่แล้ว

ฉะนั้น การไปเป็นพยานของนายเอกนัฏ จึงเป็นภารกิจแรกของการเป็นเลขาธิการพรรคใช่หรือไม่ ส่วน คดีกปปส.นายอรรถวิชช์ ควรกลับไปอ่านระเบียบการดำเนินคดีอาญาของสำนักงานอัยการสูงสุด ว่ากรณีศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต่างกัน ต้องฎีกาต่อศาลสูงให้วินิจฉัยชี้ขาด แม้แต่ประชาชนทั่วไปยังรู้เลยว่า ต้องรอศาลฎีกาตัดสิน ไม่ใช่หยุดอยู่ที่ศาลอุทธรณ์เท่านั้น นายอรรถวิชช์ ควรไปอ่านระเบียบ หรือ ถามอัยการอาวุโส ส่วนเรื่องการไปต่อรองตำแหน่งทางการเมืองตนไม่ได้พูด นายอรรถวิชช์ออกมาพูดเอง ไม่รู้นำมาพูดให้เป็นประเด็นทำไม ใครจะเล่นละครหลอกประชาชนหรือเล่นลิเกหลอกมวลมหาประชาชนก็ว่าไปตามบท แต่ตนขออนุญาตนำความจริงมาบอกพี่น้องประชาชนให้ตาสว่างในวันนี้

“ผมทำหน้าที่ประชาชนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ไปขัดขาใครเป็นรัฐมนตรี เพียงแต่ต้องเป็นไปตามจริยธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้วเท่านั้น ไม่ต้องมาเสียเวลาเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีคนใหม่อีก เพราะเสียโอกาสซ้ำซากในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนนายอรรถวิชช์จึงควรดูเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งและรอบด้าน จะได้ไม่พลาดเหมือนสมัยที่ ปปง. เคยประกาศยึดที่ดินของนายอรรถวิชช์ 2-3 แปลง ผมก็จำไม่ได้เสียแล้วว่า ปปง.ยึดที่ดินนายอรรถวิชช์ด้วยมูลเหตุใดเพราะเรื่องอยู่ที่ ปปช.นานมากแล้ว” นายวัชระ กล่าว