ศาลรธน. ยุบ พรรคก้าวไกล ทำให้ 2 ขั้ว’ การเมือง เกมเปลี่ยน’ จับตากระแสดูด “งูเห่า” ขณะ สส.ฝ่ายค้าน รีเซ็ตพรรคร่วมรัฐบาล จับการเมืองนอกสภาฯ ปลุกกระแส พรรคส้มใบใหม่
มติ “ศาลรัฐธรรมนูญ”เอกฉันท์ 9 เสียง “ยุบพรรคก้าวไกล” ส่งผลให้”เกมการเมือง”ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ทั้ง “คนกำหนดเกม” และ“คนในกระดานการเมือง” ที่เหลืออยู่
เป็นเอฟเฟกต์ ที่ทำให้ทั้ง “สองขั้วการเมือง” ทั้งฝ่ายค้าน และรัฐบาลต้องกำหนดยุทธศาสตร์กันใหม่
พรรคการเมืองใน “ขั้วเสรีนิยม” อาจจะต้องทบทวนจุดยืนทางการเมืองเกี่ยวกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หากจะนำมาใช้รณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้ง คงต้องพบชะตากรรมไม่ต่างจาก “ก้าวไกล”
เช่นเดียวกับพรรคการเมืองใน “ขั้วอนุรักษนิยม” แม้จะไม่มีนโยบายแก้ไข มาตรา 112 แต่ใช้วิธีหาเสียงด้วยการอิง “สถาบันหลัก” อาจจะต้องพิจารณาว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ เพื่อสร้างให้เกิดมาตรฐานเหมือนกัน
ขณะเดียวกันต้องประเมินสถานการณ์ “การเมืองนอกสภา” อุณหภูมิจะพุ่งสูงขึ้นหรือไม่ เพราะแรงกดดันจะส่งไปที่ “องค์กรอิสระ” โดยเฉพาะ “กกต.-ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่มีส่วนในการพิจารณายุบ “ก้าวไกล”หากย้อนไปในช่วงต้นปี 2563 “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ ส่งผลให้เป็นเชื้อไฟปลุก “มวลชน-กลุ่มสนับสนุน” ให้ออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนั้น
“แกนนำมวลชน” มาจาก “กลุ่มนักศึกษา” ผู้ร่วมชุมนุมมีทั้ง “คนรุ่นใหม่-คนหนุ่มสาว” โดยมีการชุมนุมในพื้นที่กทม.เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันในหัวเมืองหลักยังมีการจัดเวทีปราศรัยด้วยเช่นกัน
บรรยากาศสังคมตื่นรู้ขยายวงกว้าง “ผู้ร่วมชุมนุม” แตกต่างจากม็อบการเมือง ไม่มีมวลชนจัดตั้ง เกือบทั้งหมดเป็นมวลชนออแกนิค ทำให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยากจะรับมือ
ทว่าจุดเปลี่ยนคือการชุมนุม “เกินธง” มีการใช้ประเด็นเกี่ยวกับ “สถาบัน” มาเรียกร้อง ทำให้เกิดกระแสตีกลับ ส่งผลให้ความชอบธรรมลดน้อยลง ฝั่งรัฐบาลมีข้ออ้างในการบริหารจัดการสถานการณ์มากขึ้น
ที่สำคัญจุดอ่อนของ “ม็อบคนรุ่นใหม่” คือการชุมนุมนัดเช้า-ค่ำกลับ ไม่มีการปักหลักทำให้แรงกดดันมีไม่มาก “แกนนำ” โดนฟ้องร้องดำเนินคดี จนอ่อนแรงไปเองเมื่อมีการยุบ “ก้าวไกล” ต้องจับตาว่า “มวลชนสีส้ม” จะออกมาแอ็คชั่นได้รวดเร็ว-ทรงพลัง เหมือนครั้งยุบ “อนาคตใหม่” หรือไม่ เพราะจากชนะเลือกตั้ง แต่ชวดจัดตั้งรัฐบาล เดินเข้าสู่การถูกยุบพรรค ความไม่พอใจของ “ด้อมส้ม” สุมอยู่เต็มอกอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันการยุบ “ก้าวไกล” ยังส่งแรงกระเพื่อมไปยัง “พรรคร่วมรัฐบาล” เพราะช็อตต่อเนื่องคือคดีคุณสมบัติรัฐมนตรีของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯ ซึ่ง “ศาลรัฐธรรมนูญ” นัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 14 ส.ค.
เมื่อ “ก้าวไกล” โดนยุบพรรค ทำให้ สส.ก้าวไกล ต้องหาพรรคการเมืองใหม่สังกัดภายใน 60 วัน โดย สส.ก้าวไกล ทุกคนมีอิสระในการเลือกพรรคเข้าสังกัด มีกระแสข่าวว่าบางพรรคการเมือง พยายามทาบทาม สส.งูเห่าสีส้ม ต้อนเข้าสังกัด เพื่อเพิ่มแรงต่อรองทางการเมือง
เกมประจวบเหมาะกับในช่วงที่ “นายใหญ่” ต้องการเอา “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล สาย สส. ภายใต้การคอนโทรลของ “ประวิตร” ซึ่งมีอยู่ 20 คนว่ากันว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เป็นหัวเรือใหญ่แตกทัพ สส.พลังประชารัฐ แยก 20 สส. ออกจาก “บ้านป่า” แต่ต้องหา สส. อีก 20 คน เพื่อเติมให้ครบจำนวน 314 เสียง
ภารกิจของ “ผู้กอง” คือการกันท่าไม่ให้ “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งมี สส. 21 คน ที่พร้อมย้ายเข้าร่วมรัฐบาล เพราะจะเสียโควตารัฐมนตรี เป้าหมายจึงต้องดูด สส. มาให้ได้อย่างน้อย 20 คน
โดยมี 4 สส. พรรคเล็ก เป็นเป้าหมาย แต่มีความเป็นไปได้แค่เพียงพรรคเดียวคือ “สุรทิน พิจารณ์” พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 คน ทำให้ “ผู้กอง” ส่วนอีกอย่างน้อย 19 คน จะมาช้อนจาก “สส.งูเห่าสีส้ม”
หาก “ผู้กอง” ทำได้ตามเป้าหมาย จะส่งผลให้ “ก้าวไกล” จากวันชนะการเลือกตั้ง 151 คน มีมติพรรคขับออก 3 คน เหลือ 148 คน ล่าสุดกรรมการบริหารพรรคที่มีตำแหน่ง สส. จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองอีก 5 คน ทำให้จำนวนเต็มของ “ก้าวไกล” เหลือเพียง 143 คนวงใน “พรรคสำรอง” ซึ่งมีภารกิจต้อน สส.งูเห่าสีส้ม เชื่อมั่นว่าจะสามารถดูด สส.งูเห่าสีส้ม มากสุด 20 คน ไม่ต้องการจำนวนเยอะ ดูดเท่าที่จำเป็น เพราะทรัพยากรมีจำนวนจำกัด
จึงต้องติดตามกันว่า “พรรคการเมือง” ที่จะเป็นสถานีต่อไปของ “สส.ก้าวไกล” จะใช้ชื่อพรรคอะไร และจะเหลือ สส.กี่คน หากมองตัวเลขที่ “พรรคร่วมรัฐบาล” จ้องจะดูดไปมากสุด 20 คน อาจจะทำให้ สส.สีส้ม เหลืออยู่ประมาณ 120-123 คน
มติ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ยุบ “ก้าวไกล” ทำให้เกมการเมืองเปลี่ยนไป ต้องจับตา “การเมืองนอกสภา” จะกลับมาเข้มข้นหรือไม่ “การเมืองในสภา” พลังดูดจาก“พรรคร่วมรัฐบาล” จะต้อน “สส.งูเห่าสีส้ม” เข้าสังกัดได้มากน้อยเพียงใด !!!