พาณิชย์ ชี้ อัตราเงินเฟ้อเริ่มแผ่ว มิ.ย.บวกแค่0.62% จากค่าไฟลด-ราคาผักสดสูงขึ้น

13

สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เผย ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ อัตราเงินเฟ้อ เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 0.62% จากการลดลงของค่าไฟ และ ราคาผักสดที่สูงขึ้น หลังสิ้นสุดสุดสภาพอากาศร้อนจัด เอื้อต่อการเพาะปลูกของเกษตรกร

วันที่ 6 ก.ค.2567 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย (CPI) หรือ อัตราเงินเฟ้อ เดือนมิถุนายนอยู่ที่ 108.50 เพิ่มขึ้น 0.62% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 0.31% จากเดือนพฤษภาคม 2567 โดยชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ที่อยู่ในระดับ 1.54% ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 1-1.1% เนื่องจากการลดลงของอัตราการเปลี่ยนแปลงค่ากระแสไฟฟ้าหลังสิ้นสุดผลกระทบของฐานต่ำในเดือนก่อนหน้าและการสูงขึ้นในอัตราชะลอตัวของผักสดเนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก หลังจากสิ้นสุดสภาพอากาศร้อนจัด

โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์สูงขึ้น 48% จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ ได้แก่ กลุ่มข้าว แป้ง และ ผลิตภัณฑ์จากแป้ง (ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว) กลุ่มอาหารสด อาทิ ไข่ไก่ ผลไม้สด (มะม่วง ทุเรียน กล้วยน้ำว้า แตงโม กล้วยหอม องุ่น สับปะรด) และผักสด (มะเขือเทศ ขิง ฟักทอง พริกสด ต้นหอม บวบ ผักบุ้ง มะเขือ ผักชี) กลุ่มอาหารบริโภคในบ้านและนอกบ้าน (กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง)กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำหวาน กาแฟ (ร้อน/เย็น)) และกลุ่มเครื่องประกอบอาหาร (น้ำตาลทราย กะทิสำเร็จรูป น้ำพริกแกง) ขณะที่ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ เนื้อสุกร มะนาว ปลาทู น้ำมันพืช ไก่ย่าง ส้มเขียวหวาน หัวหอมแดง และกระเทียม เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปไตรมาสที่ 3 ปี 2567 คาดว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ปัจจัยที่ยังทำให้อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ ได้แก่ (1) ค่ากระแสไฟฟ้าภาคครัวเรือนอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้า ตามมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ (2) สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อภาคการเกษตรมากขึ้น หลังจากสิ้นสุดช่วงอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ปริมาณผลผลิตและราคาสินค้าภาคการเกษตรปรับเข้าสู่ระดับปกติ และ (3) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการค้าส่งและค้าปลีกรายใหญ่ รวมทั้งการค้าผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ตามสภาวะที่มีการแข่งขันสูง

ส่วนปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ได้แก่ (1) ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศ กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน (2) อัตราแลกเปลี่ยนมีแนวโน้มอ่อนค่ากว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อนและ (3) ความไม่แน่นอนจากผลกระทบของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจทำให้ราคาน้ำมันและค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าปรับตัวสูงขึ้น

กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 อยู่ระหว่าง 0.0-1.0% (ค่ากลาง 0.5%) ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจะมีการทบทวนอีกครั้ง

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนมิถุนายน 2567 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 52.3 จากระดับ 52.4 ในเดือนก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 19 (ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565)สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันปรับเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 44.5 จากระดับ 44.1 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต(3 เดือนข้างหน้า) ปรับลดมาอยู่ที่ระดับ 57.5 จากระดับ 57.9 สาเหตุที่ดัชนียังอยู่ในช่วงความเชื่อมั่นคาดว่ามาจาก (1) สถานการณ์ภายนอกประเทศส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยให้ชะลอตัว(2) ความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อจากปัญหาภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และ (3) ความกังวลต่อภาระค่าครองชีพและราคาพลังงาน อย่างไรก็ตาม มาตรการของภาครัฐต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวส่งผลดีต่อธุรกิจบริการและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ดัชนียังคงอยู่ในช่วงเชื่อมั่น.