การเมืองยังร้อนแรงต่อเนื่องตลอดเดือน มิ.ย. กับ “3 คดีใหญ่” ทั้งคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญ ขีดเส้นให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี “ชี้แจงปม 40 สว.ยื่นถอดถอน” และยังมีคดีที่ อัยการสูงสุดส่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร “คดี ม.112” และ “คดีล้มล้างการปกครอง” ของพรรคก้าวไกล ซึ่งอาจมีผลถึงขั้นยุบพรรค
รองศาสตราจารย์ ดร.ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย พูดถึงประเด็นแรก การสู้คดีของพรรคก้าวไกล โดยมองว่า แนวทางต่อสู้ ก็คือการจะพยายามบอกว่าไม่มีพฤติกรรม แนวนโยบาย หรือ การกระทำอะไรที่ไปล้มล้างการปกครอง ซึ่งต้องไปต่อสู้กับ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่เชื่อว่าตอนนี้เรื่องเลยเถิดมามากแล้ว โอกาสที่ “พรรคก้าวไกล” จะไม่ถูกยุบแทบเป็นศูนย์
ซึ่งก้าวไกลก็คง “ไม่หวั่นไหว” เพราะมีประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาแล้ว และยังมองว่าถ้าพรรคก้าวไกล ถูกวินิจฉัยให้ยุบพรรค แนวทางต่อไปก็คงไป “จดทะเบียนพรรคใหม่” เหมือนครั้งที่ผ่านมา สิ่งที่เหมือนกันคือ กรรมการบริหารพรรคจะหายไปเพียงแค่ 5-6 คน และเชื่อว่าตอนนี้พรรคน่าจะเตรียมแผน 2 แผน 3 ไว้หมดแล้ว
แต่สิ่งที่ต่างกันคือเชื่อว่า รอบนี้จะไม่เกิดปรากฎการณ์งูเห่าเหมือนครั้งก่อนแน่นอน เพราะถ้า ส.ส.พรรคทำแบบนี้จะส่งผลถึงอนาคตทางการเมืองของตัวเอง และคงไม่มีใครฆ่าตัวตายด้วยการเป็นงูเห่าแน่นอน
ส่วนคดีของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้องในความผิดตามมาตรา 112 แนวทางการวินิจฉัย จะเหมือนหรือต่างกันอย่างไรนั้น ดร.ธนพร มองว่าศาลรัฐธรรมนูญและอัยการสูงสุด น่าจะแยกแนวทางการพิจารณาต่างกัน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ จะดูเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญเป็นหลัก และ วินิจฉัยทางการเมือง ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่กรณีของนายทักษิณ เป็นเรื่องความผิดส่วนบุคคล ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
ส่วนภาพนายทักษิณ ที่เดินสายพบประชาชนหลายจังหวัด มีนัยยะอะไรหรือไม่ ดร.ธนพร มองว่า เป็นการลงพื้นที่สกัดพรรคก้าวไกลไม่ให้มีอำนาจเข้ามาบริหารบ้านเมืองได้ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของนายทักษิณ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคอื่นมีความสามารถน้อยกว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าพรรคร่วมรัฐบาล ตอนนี้ยังไม่มีพรรคไหนที่มีศักยภาพทางการเมืองและได้รับการยอมรับจากประชาชนได้มากเท่ากับพรรคเพื่อไทย
และนอกจากสกัดพรรคก้าวไกลแล้วยังเป็นการเช็กฐานเสียงไปในตัว และดูด สส.ในพื้นที่ รวมถึงอดีต ส.ส.ที่เคยอยู่ในพรรคกลับเข้ามา แต่การทำแบบนี้ ดร.ธนพร มองว่าไม่ได้ช่วยให้ฐานเสียงเพิ่มขึ้น
ส่วนการ “ยื่นถอดถอน” นายเศรษฐา ทวีศิลป์ นายกรัฐมนตรี ที่กลุ่ม 40 สว.ร้องเรียน ปมแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน จากทนายตระกูล“ชินวัตร” มาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดร.ธนพร มองว่า การที่นายเศรษฐา ไม่ขอขยายระยะเวลาชี้แจงออกไปอีกนั้น ก็เชื่อว่าตัวเองจะมีทางรอดอยู่แล้ว
แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายเศรษฐา มีความผิด พรรคเพื่อไทย ก็ต้องสั่นสะเทือน และ ถ้าหลุดออกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี การเมืองก็จะเปลี่ยนขั้วได้ หรือ ถ้าไม่เปลี่ยนขั้ว พรรคเพื่อไทยก็จะถูก “พรรคภูมิใจไทย” ต่อรองอย่างหนัก ซึ่งพรรคเพื่อไทยยอมไม่ได้แน่นอน !