ท่ามกลางกระแสข่าว “กลุ่ม 40 สว.” ยื่นวินิจฉัยคุณสมบัติรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” กรณีแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” มาจากสายตรง “บ้านป่ารอยต่อ” ซึ่งเป็นฐานบัญชาการของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จึงถูกเชื่อมโยงว่ามี “หนึ่งลุง” พยายามล้ม “เศรษฐา”
ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่าง “เพื่อไทย-พลังประชารัฐ” ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล จึงมีเครื่องหมายคำถามว่าจะเดินกันต่อไปอย่างไร
ปฏิบัติการของ “กลุ่ม 40 สว.” ชง “ศาลรัฐธรรมนูญ” จึงถูกชี้เป้าไปที่ “สว.สายบ้านป่ารอยต่อ” ซึ่งมีความเชื่อมโยงถึง น้องชาย-ลูกน้องของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)
ส่งผลให้เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ “เศรษฐา” สั่นคลอน เนื่องจาก “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีมติรับคำร้องไว้วินิจฉัย แม้จะไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่มีความสุ่มเสี่ยงเกิดขึ้น และอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองต้องยอมรับว่าความฝันของ “บิ๊กป้อม” อยู่ที่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ในช่วงรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีปฏิบัติการโค่น “น้องตู่” เชิด “พี่ป้อม” ออกมาเป็นระลอก เช่นเดียวกับช่วงเลือกปี 2566 มีสัญญาใจ “ป้อม-ตู่” ใครชนะจัดตั้งรัฐบาล
ที่สำคัญองคาพยพใน “บ้านป่ารอยต่อ” คอยชี้ช่องแผนลับส่ง “นาย” ถึงฝั่งฝันตลอดเวลา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งทำให้ “บิ๊กป้อม” ยังมีความหวัง
ล่าสุด “เศรษฐา” ให้สัมภาษณ์ Exclusive Talk รายการเนชั่นสุดสัปดาห์กับ 3 บก. เอาไว้ว่า ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยกรณีนายพิชิต ได้พูดคุยกับนายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ว่าเรายังซัพพอร์ตกันเต็มที่ ซึ่งถือเป็นขวัญกำลังใจ ถามว่าเราเห็นด้วยทุกเรื่องหรือไม่ ก็ไม่ แต่เราก็ยังทำงานร่วมกันได้ดีมาก ท่านก็ให้เกียรติตน เรายังคุยกันรู้เรื่อง พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เราก็ยังคุยกันได้ด้วยดี พรรคพลังประชารัฐ ก็คุยกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ก็ไม่มีประเด็นอะไรอย่างไรก็ตามเมื่อถามว่า ได้คุยกับพล.อ.ประวิตร หรือไม่ “เศรษฐา” ตอบสวนทันทีว่า “ผมไม่เคยคุย ผมไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน”
เมื่อถามว่า คิดจะไปคุยกับพล.อ.ประวิตรบ้างหรือไม่ “เศรษฐา” นิ่งคิดก่อนตอบว่า
“ไม่ได้อยู่ในตารางที่จะไปคุย แต่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐถือว่ามีตัวแทนแล้ว คือร.อ.ธรรมนัส กับพล.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ในฐานที่ท่านเป็นรองนายกรัฐมนตรีมา 8 ปี อดีตผู้บัญชาการทหารบก และในฐานะที่มีคนนับหน้าถือตาเยอะ ถ้าท่านให้ไปให้ผมไป ผมก็ไปหาท่าน”
“ซึ่งไม่ใช่แค่พล.อ.ประวิตรเพียงคนเดียว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตรมว.มหาดไทย ถ้าท่านให้ผมไปผมก็ไป แต่ท่านยังไม่เชิญมา ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ผมก็คุยแล้ว นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ผมก็เคยไปคุยมา เราถือว่าเราเป็นผู้น้อย ไม่ได้รู้ดีหมดทุกเรื่อง ถ้าท่านเรียกมาผมก็ไป”ที่สำคัญ “เศรษฐา” ยอมรับว่าการโดน “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยกรณีนี้ กระทบต่อความเชื่อมั่น แต่เราต้องมองข้ามไปว่า ที่โดนนั่นโดนนี่ มันมีเหตุผลอะไร ทุกคนในทีมไทยแลนด์ ทั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาล ทุกคนจะต้องพิจารณากัน อย่าบอกว่าฉันไม่เกี่ยว อันนี้เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีคนเดียว ตนไม่ได้โยนความรับผิดชอบ แต่เราต้องนั่งคิดกัน และน้อมรับเรื่องที่เกิดขึ้นมา และแก้ไขให้ดีที่สุด
“ผมไม่ได้ก้าวล่วงศาล แต่สมมุติว่าเรื่องผ่านไปด้วยดี หลุดไปได้ เราจะต้องแก้ไขอะไรกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิด กระทบต่อความมั่นใจของรัฐบาลอีก ผมมองตรงนี้ดีกว่า ผมไม่ได้มองข้าม แต่ต้องหาทางอธิบายกับสังคมให้ชัดเจน เราต้องหาต้นตอ และไปแก้ตรงนั้น”
“เศรษฐา” ยืนยันว่าจะไม่ขอเพิ่มเวลาชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้ชี้แจงภายใน 15 วัน เพราะอยากให้จบ มีบริบทอธิบายให้ชัดเจน จะได้ง่ายต่อการตัดสิน หวังว่าการอธิบายไปไม่ใช่การเล่นแง่ทางขั้นตอน เพื่อจะยืดเวลานั่งออฟฟิศต่อไป ต้องตอบให้ชัดเจนครบถ้วน ทุกกระบวนการ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกท่านจะได้พิจารณาได้อย่างครบถ้วน ไม่ใช่จะขอกลับมาอีก
ทั้งหมดคือความมั่นใจของของ “เศรษฐา” ปมคุณสมบัติรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างการชี้แจงต่อ “ศาลรัฐธรรมนูญ” และท่าที่ที่มีต่อ “บิ๊กป้อม” ส่งสัญญาณชัดเจนว่า “พลังประชารัฐ” มีตัวแทนในรัฐบาลแล้ว อาจจะไม่ต้องสื่อสารกับ “หัวหน้าพรรค” โดยตรง
หลังจากนี้จับตาเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ “เศรษฐา” จะแข็งแกร่งคงทนได้นานหรือไม่ เพราะ “กลุ่มคิดล้มอำนาจ” ยังมีอยู่ และไม่เคยหยุดคิดแม้แต่วินาทีเดียว!!!