กลุ่มอิสลาม IS ออกมาระบุว่า อยู่เบื้องหลัง เหตุระเบิด” คอนเสิร์ตฮอลล์” ภายในโรงละคร Crocus City Hall ทำให้มีผู้เสียชีวิต แล้ว กว่า 60 ราย และ บาดเจ็บนับ100 ราย
หน่วยข่าวกรองรัสเซียยืนยันว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 60 ราย หลังกลุ่มมือปืนบุกโจมตี คอนเสิร์ตฮอลล์ ในมอสโกที่เต็มไปด้วยผู้คน เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ Crocus City Hall โดยหน่วย FSB (หน่วยรักษาความปลอดภัยกลางรัสเซีย) ระบุว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 100 ราย กลุ่มไอเอส (ISIS) ออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตีนี้ แต่รัสเซียยังไม่มีการแสดงความคิดเห็น มีคลิปวิดีโอเผยให้เห็นเหตุการณ์ความวุ่นวายระหว่างที่ผู้ชมคอนเสิร์ตพากันหาที่กำบัง เสียงปืนและระเบิดดังอย่างชัดเจน
เกิดไฟไหม้ขนาดใหญ่บริเวณหลังคาของอาคาร หน่วยพิเศษของรัสเซียกำลังค้นหาตัวมือปืนที่ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ทำเนียบขาวระบุว่ากำลังหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ ส่วนทางยูเครนได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้หน่วยรักษาความปลอดภัยกลางของรัสเซียประกาศว่ามีผู้เสียชีวิต 60 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 100 คนในเหตุการณ์โจมตีคอนเสิร์ตฮอลล์ในกรุงมอสโกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กลุ่มมือปืนในชุดเกราะบุกเข้าไปใน Crocus City Hall คอนเสิร์ตฮอลล์ขนาดใหญ่ทางตะวันตกของกรุงมอสโกและกราดยิงปืนกลใส่กลุ่มผู้ชมคอนเสิร์ต
หน่วยงานสอบสวนระดับสูงของรัสเซียกำลังดำเนินการสืบสวนคดีนี้ในฐานะการก่อการร้าย สำนักข่าวบางแห่งรายงานว่ากลุ่มไอเอส (ISIS) อ้างตัวว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่ยังไม่มีการยืนยันที่ชัดเจน มาเรีย ซาคาโรว่า โฆษกหญิงกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย ประณามเหตุการณ์นี้ว่าเป็น “การก่อการร้ายนองเลือด” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ซึ่ง ถูกมองว่ามีการจัดฉาก
สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ รายงานว่ากลุ่มชายฉกรรจ์เริ่มก่อเหตุยิงปืนทั้งบริเวณทางเข้าและภายในคอนเสิร์ตฮอลล์ที่เนืองแน่นไปด้วยผู้ชมคอนเสิร์ตของวงร็อก “Picnic” มีคลิปบันทึกโดยผู้เห็นเหตุการณ์ที่ได้ยินเสียงปืนกลชัดเจน สมาชิกวงดนตรียังปลอดภัยเนื่องจากอยู่ในห้องแต่งตัวเตรียมตัวขึ้นการแสดงในช่วงที่เกิดเหตุมีรายงานว่าผู้ก่อเหตุใช้ระเบิดด้วย ทำให้ไฟลุกไหม้ครั้งใหญ่ภายในอาคารคอนเสิร์ต คลิปจากโซเชียลมีเดียเผยให้เห็นกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งออกมา ตำรวจปราบจลาจลและเจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินถูกส่งเข้าพื้นที่เพื่ออพยพประชาชน มีการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นที่สนามบินและสถานีรถไฟในกรุงมอสโก หลังการโจมตี เซอร์เก โซเบียนิน นายกเทศมนตรีกรุงมอสโกได้ประกาศยกเลิกกิจกรรมสาธารณะทั้งหมดที่มีกำหนดในเมืองช่วงสุดสัปดาห์นี้ ผู้นำเบลารุสอย่าง อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ส่งสารถึงปูตินประณามการ “ฆาตกรรมโหดเหี้ยมต่อผู้บริสุทธิ์” ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับประธานาธิบดีคาซัคสถานอย่าง โตกาเยฟ ที่เสนอให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่รัสเซีย
ทางฝั่งยูเครนปฏิเสธเกี่ยวข้องโดยมิไคโล โปโดลยัค ที่ปรึกษาของประธานาธิบดียูเครนทวีตว่า: “ยูเครนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกราดยิงหรือระเบิดที่ Crocus City Hall แน่นอน…ไม่มีเหตุผลอะไรเลย” “ทุกอย่างในสงครามนี้จะตัดสินในสนามรบเท่านั้น…การก่อการร้ายไม่ช่วยแก้ปัญหาใดๆ” เขากล่าวเสริมเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ออกมายืนยันอย่างรวดเร็วว่าอเมริกามีข้อมูลข่าวกรองที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างของกลุ่มไอเอส (IS) ที่รับผิดชอบการโจมตีในมอสโก สำนักข่าว CBS ได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ทราบเรื่องข้อมูลข่าวกรองดังกล่าว โดยระบุว่ามีการส่งข้อมูลมาต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน เกี่ยวกับแผนการของ IS ที่ต้องการโจมตีรัสเซีย อเมริกาได้ส่งข้อมูลเฉพาะเจาะจงบางส่วนให้กับรัฐบาลรัสเซีย แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันและมอสโกจะไม่ราบรื่น
แม้ยังไม่มีการยืนยัน แต่เป็นไปได้สูงว่าข้อมูลเหล่านี้ คือที่มาของคำเตือนจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ที่บอกให้ชาวอเมริกันในมอสโกหลีกเลี่ยงการชุมนุมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนเสิร์ต กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เคยระบุว่ากำลังติดตามรายงานข่าวที่ว่า กลุ่มหัวรุนแรงมีแผนโจมตีฝูงชนจำนวนมาก แต่ตอนนั้นไม่ได้ระบุชัดเจนว่าหมายถึงกลุ่มใด
กลุ่มไอเอส (IS) ออกแถลงการณ์ เป็นผู้ก่อเหตุโจมตี แม้จะยังไม่ชัดเจน แต่เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ ระบุว่ามีข้อมูลหน่วยข่าวกรองที่ยืนยันว่า IS เป็นผู้อยู่เบื้องหลังจริง รูปแบบการโจมตีด้วยมือปืนสังหารพลเรือนแบบนี้เป็นวิธีที่ IS ถนัด มีความคล้ายกับเหตุโจมตีคอนเสิร์ตที่กรุงปารีสเมื่อปี 2015 ประเด็นว่า ‘ใครก่อเหตุ’ อ่อนไหวมากในสถานการณ์โลกตอนนี้ เจ้าหน้าที่ยูเครนและพันธมิตรกังวลว่ารัสเซีย (มอสโก) จะโยนความผิดมาใส่พวกเขา
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่สหรัฐฯ เคยออกประกาศเตือนเมื่อวันที่ 7 มีนาคมว่า ‘กลุ่มหัวรุนแรง’ อาจโจมตีคอนเสิร์ต ซึ่งคำเตือนนี้ ดูเหมือนจะถูกทางการรัสเซียมองข้าม และแม้ว่าทุกครั้งที่มีการก่อการร้ายจะมีคำถามว่า ใครอยู่เบื้องหลัง และสามารถป้องกันได้หรือไม่ แต่ครั้งนี้รัสเซียอาจจะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักให้แสดงจุดยืนและการตอบโต้