‘เศรษฐา’ ย้ำตัวเลขเศรษฐกิจอยู่ในภาวะวิกฤต วอน กนง. พิจารณาลดดอกเบี้ย

‘เศรษฐา ทวีสิน’ ย้ำตัวเลข เศรษฐกิจอยู่ในภาวะวิกฤต วอน กนง. พิจารณาลดดอกเบี้ย ตั้งข้อสังเกตแรง หลังเลขา สศช. ออกมายอมรับ บอกควรพูดก่อนหน้านี้หรือไม่ ชี้ ลดสลึงเดียวก็ช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนได้

วันที่ 20 ก.พ.2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ (X) โดยระบุหัวข้อการตอกย้ำตัวเลขเศรษฐกิจ ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมวันนี้ บ่งบอกถึงสถานะของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะ critical stage ท่านเลขาเองก็เห็นด้วยกับการที่ควรต้องมีการลดดอกเบี้ย อยากขอวิงวอนให้ กนง. เรียกประชุมคณะกรรมการเป็นการเร่งด่วน เพื่อพิจารณาการลดดอกเบี้ยโดยไม่คอยถึงการประชุม scheduled ไว้

อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐา ได้โพสต์ข้อความหลังพรรคเพื่อไทยนำคำพูดของ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ที่ระบุว่า สิ่งที่พิจารณาในช่วงถัดไปอย่างจริงจัง คือ มาตรการด้านการเงินน่าจะต้องเข้ามามีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าให้ได้ โดยเฉพาะการลดภาระครัวเรือนและเอสเอ็มอี อย่างมาตรการอัตราดอกเบี้ยต่าง ๆ ต้องพิจารณาจริงจัง มาโพสต์ว่า

“น่าจะพูดก่อนการประชุม กนง. เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนะครับ ไม่แน่ใจว่าจุดประสงค์ของการพูดตอนนี้เพื่ออะไรหรือบอกว่าผมทำหน้าที่ของผมแล้วซึ่งจริง ๆ แล้วควรจะทำตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ?”ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 ก.พ.2567 ที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ทั้งปี 2566 และแนวโน้มปี 2567ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ขยายตัวเพียง 1.7% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 1.4% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 แล ะรวมทั้งปี เศรษฐกิจไทย ขยายตัวเพียง 1.9% ว่า เรื่องนี้ได้พูดไปหลายหนแล้ว และน่าจะทราบจุดยืนของตนอย่างชัดเจน ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาจีดีพีของเรา เฉลี่ยโตต่ำกว่า 2% ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ

เทียบกับลำดับจีดีพีโลกเราก็ต่ำลงไปเรื่อยๆ และอย่าลืมว่าตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามา ยังไม่สามารถใช้งบประมาณได้เลย เร็วที่สุดที่น่าจะใช้ได้ก็คือ 1 เมษายน 2567 แต่ทุกกระทรวงได้ใช้นโยบายเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น แต่วันนี้ต้องยอมรับว่าไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้าไปในระบบเลย ซึ่งหลายสำนักมีการปรับประมาณการณ์จีดีพีลงอย่างต่อเนื่องทุกเดือน ซึ่งรัฐบาลได้พยายามดำเนินการทุกมาตรการที่มีอยู่ ส่วนตัวขอฝากไว้ว่านโยบายดอกเบี้ยไม่ต้องใช้งบประมาณ ซึ่งขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.5 % หากลดลงเหลือ 2.25 % เพียงสลึงเดียวก็จะช่วยบรรเทาภาระของพี่น้องประชาชนทุกคนได้ แต่เขาไม่ลดกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีได้พูดเรื่องนี้มาตลอดแต่ไม่ได้รับการตอบรับจากธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท.) เลย นายกรัฐมนตรีถามกลับสื่อว่า “ดอกเบี้ยนโยบายใครเป็นคนควบคุม ก็คือธนาคารแห่งประเทศไทย” ตนพูดคุยกับเลขาธิการสภาพัฒน์ ฯก็บอกว่าเราได้ทำทุกวิถีทางแล้ว และมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งเลขาธิการสภาพัฒน์ระบุว่าได้คุยกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าถึงเวลาที่จะต้องลด

“ผมจึงบอกว่าทำไมไม่พูดคุยต่อหน้าสาธารณะชนบ้าง และพูดคุยในภาษาที่ชัดเจน ซึ่งเลขาสภาพัฒน์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และ ผมเองต่างก็จบเศรษฐศาสตร์มา ตรงนี้เราไม่ได้มาเอาชนะกัน แต่ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะมีการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้น เพื่อรองบประมาณที่จะคลอดออกมา ผมก็ได้สอบถามกับเลขาธิการสภาพัฒน์ว่าสามารถทำอะไรได้อีก หากมีอะไรที่ทำได้ก็ขอให้เสนอมา ผมไม่ได้จมปลักอยู่กับการลดดอกเบี้ยอย่างเดียว แต่การลดดอกเบี้ยก็เป็นการแบ่งเบาภาระของประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งเห็นอยู่แล้วสำหรับตัวเลขที่ออกมา อย่างเช่นนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ก็พยายามที่จะออกมาให้เร็วที่สุด“ นายเศรษฐา กล่าว