“ดิเรกฤทธิ์” โว เสียง สมาชิกวุฒิสภา เข้าชื่อขอเปิดอภิปราย ตาม ม.153 เกินแน่ มองเป็นผลดีต่อ “รัฐบาล” ได้แจงต่อปชช.ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะปม “นักโทษเทวดา” และ “เงินดิจิทัล” ที่สังคมยังข้องใจ
วันที่ 8 ม.ค.2567 เวลา 13.10 น. ที่รัฐสภา นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 ว่า เป็นการอภิปรายเฉพาะเรื่อง เป็นสิทธิ และอำนาจของผู้ที่ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย ส.ส.หรือ ส.ว. เพราะเป็นผู้แทนของประชาชน นอกจากนี้ เรายังมีหน้าที่ในการออกกฎหมาย เราติดตามการบังคับใช้กฎหมาย การกำกับการบริหารราชการแผ่นดิน
การเปิดอภิปรายแบบไม่ลงมติของวุฒิสภา มีบทบัญญัติชัดเจนให้สามารถเชิญรัฐบาลมาสอบถาม และชี้แจงถึงเรื่องต่างๆ ที่ได้ทำไป รวมถึง เสนอแนะให้กับรัฐบาล เรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและรัฐบาลเอง เพราะหลายเรื่องที่ประชาชนสงสัย ไม่มีพื้นที่รับฟังคำอธิบาย นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสามารถใช้พื้นที่สภาอธิบายผ่านวุฒิสภาสู่ประชาชนต่อข้อถามว่า ส.ว.จะนำเรื่องใดขึ้นมาอภิปรายเป็นพิเศษหรือไม่ นายดิเรกฤทธิ์กล่าวว่า ภาพกว้างคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีนโยบายจะแก้ไขทั้งฉบับ รวมถึงการทำประชามติ ก็มีปัญหาหลายประเด็น เช่น ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ วิธีการ ความจำเป็น เนื้อหา ขอบเขต ที่จะแก้ รวมถึงสรรหาสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แม้กระทั่งการบังคับใช้กฎหมาย เรื่องกระบวนการยุติธรรม ที่มีความไม่โปร่งใส รวดเร็ว และยังไม่ได้อธิบาย เรื่องเหล่านี้เป็นความคาดหวังของประชาชน
หลายรัฐบาลที่ผ่านมาเวลามีกระทู้ถามด้วยวาจา หรือเป็นหนังสือ รวมถึงหารือความเดือดร้อนของประชาชนไปยังฝ่ายบริหาร บางทีนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ก็ไม่มาตอบ ตรงนี้เป็นผลเสียของรัฐบาลเองที่มีเวทีแล้วไม่มาชี้แจง เป็นผลเสียต่อประชาชนที่ไม่เข้าใจการทำงานของรัฐบาล ดังนั้น การมีรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 จึงเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย
เมื่อถามถึงกระบวนการการบังคับใช้กฎหมาย ที่ยังไม่โปร่งใส สามารถยกตัวอย่างได้หรือไม่ นายดิเรกฤทธิ์กล่าวว่า มีหลายประเด็น ทั้งกระบวนการยุติธรรม ทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครอง ที่ยังมีคดีต่างๆ ค้างอยู่มากมาย เช่น กระบวนการบริหารโทษในกรมราชทัณฑ์ว่า ทำไมถึงมีบางคนถูกเลือกปฏิบัติต่างจากประชาชนทั่วไป ประเด็นนี้สามารถอธิบายได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่อยู่ชั้น 14 กรณีเดียว แต่เราพูดถึงภาพกว้างด้วย เราไม่ได้ก้าวล่วงดุลพินิจ แต่เราอยากสร้างความเคลื่อนไหว นอกจากนั้นยังมีอีกหลายเรื่องหลายกรณีที่ประชาชนสนใจ
ส่วนหวังว่าจะให้ นายกรัฐมนตรีมาชี้แจงด้วยตัวเองหรือไม่นั้น นายดิเรกฤทธิ์กล่าวว่า ข้อดีของมาตรานี้คือกำหนดให้รัฐมนตรีเข้ามาชี้แจงโดยไม่ต้องผ่านตัวแทน จากที่พูดคุยกับ ส.ว.นอกรอบพบว่า คนที่เห็นด้วยกับการอภิปรายแบบไม่ลงมติมีมากกว่าจำนวน 1 ใน 3 ที่ต้องเข้าชื่อแน่นอน โดยในวันนี้จะมีการประชุม กมธ.การพัฒนาการเมือง ซึ่งเราเห็นพ้องกัน แต่จะมาดูญัตติอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้รัฐบาลได้เตรียมตัวว่ามีเรื่องอะไรบ้าง
เมื่อถามถึงความเห็นเกี่ยวกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นายดิเรกฤทธิ์กล่าวว่า หลายคนมองถึงความจำเป็น เป็นวิกฤตหรือไม่ อย่างไร ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผิดกฎหมายฉบับไหนหรือไม่ สามารถดำเนินการได้หรือไม่ มีหลายแง่มุมที่ยังมีข้อถกเถียง “ทำไมเราไม่ให้ผู้รับผิดชอบมาชี้แจง เพื่อไม่ให้ข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน” นายดิเรกฤทธิ์กล่าว
เมื่อถามถึงเหตุผลในการที่ตัดสินใจเปิดการอภิปรายแบบไม่ลงมติรัฐบาลชุดนี้ ที่เพิ่งทำงานได้ 4 เดือน นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล และ ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถทำหน้าที่ได้เป็นช่วงๆ ตอนรัฐบาลชุดที่แล้ว ก็มีการมารายงานทุก 3 เดือน ในเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงมีการทำงานร่วมกับ กมธ.ที่เกี่ยวข้อง ประเด็นก็แตกต่างกับรัฐบาลชุดนี้ที่มาจากประชาชน พันธกรณี ข้อผูกพัน กับสิ่งที่หาเสียง หรือประกาศเป็นนโยบายไว้ เมื่อมีการให้พันธสัญญาก็จะต้องขับเคลื่อน และมีความคาดหวังจากประชาชน “การทำหน้าที่ตรงนี้ไม่อยากให้มองตัวบุคคล แต่อยากให้มองตัวของรัฐบาล ว่าสถานการณ์เวลานี้มีประเด็นที่มากพอ มีประโยชน์หรือไม่ อย่างไร ในการอภิปราย” นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว