“รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ” คือประโยคแรกที่พบเห็นในวันที่ก้าวย่างเข้าสู่รั้วรามคำแหง ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม หาความหมายของชีวิต หอบใบปริญญา กลับไปฝากพ่อแม่
รามคำแหง คือมหาวิทยาลัยประชาชน เป็นตลาดวิชา แหล่งศึกษาเรียนรู้ของลูกคนยากคนจน ที่ถูกระบบการศึกษาแบบ “แพ้คัดออก”ถีบส่งมา
ในเดือนพฤษภาคมของปี 2523 ผมหอบสังขาร พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าเดินเข้าไปในรั้วรามคำแหงดัวยจิตใจที่มุ่งมั่น มาหาความหมายของชีวิต เป้าหมายคือหอบใบปริญญาไปฝากพ่อแม่
ในวันนั้นรามคำแหงคราคร่ำไปด้วยเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่พลาดหวังกับการคัดเลือกเข้าสู่มหาวิทยาลัยเปิด พวกเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากรุ่นพี่มานั่งคอยแนะนำคอยบอกในการกรอกใบสมัครเข้าเป็นนักศึกษา
ไม่ใช่แค่นั้น รุ่นพี่ยังคอยแนะนำ-ชักนำให้เข้าร่วมการทำกิจกรรมกับกลุ่ม ชมรม พรรคนักศึกษา บอกเล่าถึงปัญหาของสังคมที่เราในฐานะลูกหลานประชาชนจะต้องเข้าร่วมในการสะท้อนปัญหา หรือแก้ไขปัญหา
ผมไม่รู้จักรามคำแหงมาก่อนเลย ก่อนจะมาสมัครเป็นนักศึกษา รู้แค่ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ที่สอนต่อจากระดับมัธยมเท่านั้น กลุ่ม ชมรม พรรคนักศึกษาอะไร ผมไม่รู้จัก ก็ต้องสอบถาม และรับรู้จากรุ่นพี่ที่มาคอยแนะนำ บอกเล่า
ผมเลือกเรียนรัฐศาสตร์ ด้วยเหตุผลง่ายๆตามรุ่นพี่เล่าให้ฟัง “จบง่าย” แต่ผมคิดอยู่นิดเดียวว่า ต้องเรียนอังกฤษถึง 4 เล่ม ซึ่งเป็นวิชาที่ผมสอบตก ต้องแก้มาตลอด แต่ไม่น่าจะมีคณะอื่นที่เหมาะสำหรับเรา เอาละ…ไม่ลองก็ไม่รู้
เทอมแรกของลูกหลานประชาชน ลงทะเบียนเรียนไป 18 หน่วยกิต รวมถึงวิชาภาษาอังกฤษด้วย สมัครเสร็จหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ากลับที่พัก ไปนอนค้างหอพักเพื่อนในซอยเทพลีลา
ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาาความหมาย ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว
กระดาษแผ่นเดียวอันเป็นสัญญลักษณ์ของการเรียนจบ เป็นใบเบิกทางชีวิต แต่จริงๆแล้ว 6 ปีในรั่วรามคำแหง เราได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตมากมาย ได้ศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่มีสอนในตำรา ต้องไผ่คว้าหาเอาเอง ซึ่งมีแหล่งศึกษาเรียนรู้มากมาย
6 ปีที่เราถูกเคี้ยวจนข้น ก่อนเดินออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยประชาชนที่เราภาคภูมิใจยิ่ง ก้าวเดินออกมาอย่าวมั่นว่า เราเข้มแข็งพอ มีเกียรติมีศักดิ์พอที่จะสู้กับใครก็ได้ในภาวะสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
“จบราม” เรากล้าบอกกับใครก็ได้ อย่างไม่รู้สึกด้อยกว่า พร้อมที่ี่จะเดินเชิดหน้าสู้ในสังคมแสร็งเคร็ง และที่ผ่านมาเราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ลูกพ่อขุน” ไม่แพ้ใคร ทุกแวดวงวิชาชีพจึงเต็มไปด้วยบัณฑิตรามคำแหง
52 ปีรามคำแหง ได้สร้างคนสร้างบัณฑิตมาแล้ว 1 ล้านกว่าคน และยังมีนักศึกษาในระบบอีกร่วมแสนคน
รามคำแหงจึงไม่ใช่แค่ตึก ไม่ใช่แค่ห้องเรียนสี่เหลี่ยม แต่เป็นแหล่งบ่มเพาะ แหล่งศึกษา แหล่งเรียนรู้ ทั้งในระบบ และนอกระบบ เพื่อนมากมายก็เจอในรั้วรามคำแหง
ที่ไหนมีคนที่นั้นมีปัญหา รามคำแหงได้ผ่านอุปสรรค ผ่านปัญหามามากมาย ทุกประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมือง รามคำแหงจะต้องถูกบันทึกไว้ถึงการมีส่วนร่่วม
มีรามถึงมีเรา ถ้าไม่มีราม ก็ไม่มีเราในวันนี้ เพราะรามคำแหง คือ “เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง”
#นายหัวไทร #52ปีรามคำแหง