“จตุพร” ฟันธง! “ทักษิณ” ออก รพ. เมื่อไร จะเป็นตัวเร่งให้ “เศรษฐา” พ้นเก้าอี้นายกฯ

‘จตุพร’ ฟันธง ‘ทักษิณ’ พ้นโทษ ลงชั้น 14 รพ.ตำรวจ ได้กลับบ้านเมื่อไหร่ จะเป็นตัวเร่งให้ ‘เศรษฐา’ กระเด็นพ้นเก้าอี้นายกฯ สังเวย ‘กู้มาแจก’ 5 แสนล้าน เจอวิกฤต ‘สุดซอย’ ภาคสอง

วันที่ 13 พ.ย. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า หากวันใดที่นายทักษิณ ชินวัตร ออกจากชั้น 14 รพ.ตำรวจ แล้วกลับไปบ้าน จะเป็นตัวเร่งให้นายเศรษฐา ทวีสิน ต้องพ้นจากนายกรัฐมนตรีเร็วขึ้น เพราะต้องรับผิดชอบกับโครงการแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาทจำนวน 50 ล้านคน ซึ่งสังคมและหน่วยงานตรวจสอบของรัฐรุมต่อต้านอย่างหนัก

ดังนั้น เชื่อว่า เป้าหมายออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงิน 5 แสนล้านบาท มาแจกเป็นเงินดิจิทัลนั้น มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจของนายเศรษฐา ว่าจะอยู่หรือถูกเด้งให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ได้ช้าหรือเร็วขึ้น โดยมีปัจจัยบ่งชี้สำคัญคือ นายทักษิณได้รับพระราชทานอภัยโทษทั่วไป ซึ่งคาดจะมีขึ้นในเดือนธันวาคมนี้

“ถ้าทักษิณ ได้รับพระราชทานอภัยโทษทั่วไป แล้วกลับบ้านได้ คณะกรรมการกฤษฎีกาจะเป็นด่านแรกที่ขัดขวาง ไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.บ.กู้เงินมาแจกประชาชน อีกอย่างหากนายเศรษฐายื้อการแจกเงินดิจิทัล ยังต้องไปเผชิญกรรมในคณะรัฐมนตรี (ครม.) และปัญหามีว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะยอมมีมติสิ้นอนาคตการเมืองไปพร้อมด้วยหรือไม่” นายจตุพร ระบุ

อย่างไรก็ตาม หาก ครม. ยอมผ่าน พ.ร.บ. กู้เงินแล้ว ยังต้องไปผจญอุปสรรคในด่านสภา สส. และยังมีวุฒิสภา (สว.) เป็นขวากหนามสำคัญคอยทิ่มแทงอีก รวมทั้งจะเกิดปรากฎการณ์ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยลงโทษ ครม.ด้วย ดังนั้น ด่านขัดขวางแจกเงินดิจิทัลจึงมีทุกกระบวนการทางการเมืองและระดับชั้นทางยุติธรรม นายเศรษฐาย่อมยากลำบากจะผ่านไปได้ง่ายๆ

นายจตุพร กล่าวว่า อุปสรรคดังกล่าว นายเศรษฐาพยายามจะฝ่าทะลวงด่านไปแจกเงินดิจิทัลให้สำเร็จ แม้แกนนำพรรคเพื่อไทยผนึกเสียงเชียร์ มาปลุกปั่นความรัก อ้างเป็นความต้องการช่วยเหลือประชาชนขึ้นมาต่อสู้ แต่คงไม่ง่ายที่จะเลี่ยงพ้นความปั่นป่วน เข้าทางภาวะแทรกซ้อนจากอำนาจรัฐประหาร ซึ่งรอคอยโอกาสอยู่ โดยสถานการณ์เช่นนี้ ในอดีตการยึดอำนาจปี 2549 และ 2557 จึงเป็นบทเรียนนำมาสิ่งชี้วัดได้

ยิ่งกว่านั้น นายทักษิณนอนชั้น 14 รพ.ตำรวจ ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว จึงไม่แตกต่างจากอดีตพรรคเพื่อไทยพยายามเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ให้นายทักษิณกลับบ้าน โดยไม่ยอมติดคุกเช่นกัน สิ่งนี้จะกลายเป็นแรงต่อต้านก่อหวอดปะทุขึ้นรวดเร็ว จนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกยึดอำนาจ ดังนั้น การจะออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทมาแจกประชาชน 50 ล้านคน จึงปู้ยี่ปู้ยำทำบ้านเมืองเสียหายไม่แตกต่างกัน และที่สำคัญจะเกิดสถานการณ์สุดซอยภาคสองขึ้นอีก“เจตนาดิจิทัลชัดเจน กู้มาเป็นเงินบาท แล้วให้ประชาชนเป็นดิจิทัลมีค่าเท่ากับเงินบาท การอธิบายมุมใดก็ฟังไม่ขึ้นสักกรณีดียว เพราะไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนสักอย่างที่จะนำมาอ้างการออก พ.ร.บ.กู้เงินตาม มาตรา 53 ของกฎหมายวินัยการเงินการคลัง แต่เป็นเพียงเรื่องการหาเสียงเลือกตั้งล้วนๆ อีกทั้งการพูดเทหมดหน้าตักนั้น เมื่อแจกเงินดิจิทัลเป็นเรื่องหลักในการชูขอคะแนนเสียง ถ้าเป็นไปไม่ได้จึงต้องการความเห็นใจจากประชาชนเป็นอย่างน้อย ทั้งที่ความจริงแล้วโกหกทั้งแท่ง” นายจตุพร ระบุ

ส่วนเรื่องการกู้เงินมาแจก พรรคเพื่อไทยเคยประณาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ มากที่สุด ทั้งเขียนกลอนประณาม ประชดประชัน แล้วยังตำหนิรุนแรง แต่ตัวเองกลับทำทั้งที่ไม่มีเรื่องเร่งด่วน หรือบ้านเมืองเกิดวิกฤตต้องกู้เงินมาแจกประชาชนให้ประทังความเดือดร้อน นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยพยายามโยงความเดือดร้อนทั้งหมดไปที่การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น แต่ไม่ให้จ่ายค่าเทอม ค่าบ้าน ค่าไฟ ค่ารถ และค่าใช้จ่ายจิปาถะ ดังนั้น จะฟื้นเศรษฐกิจปากท้องได้อย่างไรกัน ตรงกันข้ามยิ่งไปเติมกระตุ้นให้เศรษฐกิจของนายทุนผูกขาดได้พอกพูนกองเงินร่ำรวยอู้ฟู่ไปกันใหญ่

สิ่งสำคัญ นายจตุพร ระบุว่า การเมืองในยุคปัจจุบัน เป็นการสนับสนุนยกย่อง เชียร์ ชื่นชมให้พวกเดียวกันตระบัดสัตย์ สับปลับ นำพาประเทศเดินไปในทางที่ผิดตามเสียงเชียร์ของพวกแบกๆ ทั้งหลาย ทั้งที่ผู้นำประเทศสิ่งแรกต้องทำคือ การรักษาสัจจะที่ให้ไว้กับประชาชนแต่ไม่ทำ กลับแสดงความปลิ้นปล้อนไม่ลดละ

“ยืนยันจะไม่กู้เงินมาแจกก็ต้องกู้ จะจ่ายหมื่นบาททุกคนตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปโดยไม่มีเงื่อนไข กลับมากำหนดมีรายได้ไม่เกิน 7 หมื่นบาท เปลี่ยนกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่รัศมี 4 กิโลเมตร มาเป็นใช้ได้ในเขตอำเภอตามทะเบียนบ้าน สิ่งเหล่านี้เป็นการโกหกที่เร่งด่วนกว่าการกู้เงิน 5 แสนล้านมาให้ประชาชนแบกหนี้ชดใช้คืน” นายจตุพร กล่าวในที่สุด