“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ยัน พรรคก้าวไกล ขับ “หมออ๋อง” ตรงไปตรงมา ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง กั๊กรวบ 2 เก้าอี้ในสภา ชี้ทุกฝ่ายมีเป้าหมายชัดเจน
วันที่ 30 กันยายน 2566 ที่ Racquet Club สุุขุมวิท 49 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วย นายภัณฑิล น่วมเจิม ส.ส.กทม. พรรค ก.ก. เข้าร่วมประชุมสมาชิกพรรค ก.ก.เขตวัฒนา เพื่อเลือกตัวแทนประจำเขตและพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะในพื้นที่
จากนั้นนายพิธาให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน เตรียมยื่น ป.ป.ช.ตรวจสอบกรณีพรรคก้าวไกลมีมติขับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก และ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ออกจากพรรคเพื่อต้องการรักษาตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 1 อาจเข้าข่ายฉ้อฉล หรือนิติกรรมอำพรางหรือไม่ ว่าเรื่องนี้ส่วนตัวยังไม่ได้พูดคุยกับนายปดิพัทธ์ แต่คิดว่าไม่น่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอะไร ความจำเป็นก็เป็นไปตามที่พรรคก้าวไกลได้มีแถลงการณ์ออกไปแล้ว เพราะต้องการทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ และต้องการที่จะมีผู้นำฝ่ายค้าน แต่ขณะเดียวกันนายปดิพัทธ์ก็มีความต้องการที่จะทำรัฐสภาให้โปร่งใส และเมื่อเป็นอย่างนั้นก็คงต้องแยกกันเดินในช่วงนี้ เพื่อให้ต่างคนต่างบรรลุเป้าหมายให้ได้ แต่ในที่สุดก็คือการคิดถึงการทำงานของรัฐสภา รวมถึง ส.ส.ของพรรคการเมืองเป็นหลัก
เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวมีการใช้คำว่า “นิติกรรมอำพราง” ฉะนั้น ข้อกล่าวหาดังกล่าวถือว่ารุนแรงไปหรือไม่ ทั้งที่ผ่านมาบางพรรคก็ได้ทำเช่นกัน
นายพิธากล่าวว่า เรื่องนี้คิดว่าเป็นสิทธิที่จะวิจารณ์อะไรก็ได้ ก็น้อมรับไว้ แต่ขณะเดียวกันยืนยันตรงไปตรงมาพร้อมทั้งมีการอธิบายเป็นขั้นเป็นตอนไปแล้วว่าพรรคก้าวไกลต้องการที่จะเป็นฝ่ายค้าน และรัฐธรรมนูญก็ไม่อนุญาตให้มีรองประธานสภาอยู่ในพรรคที่มีผู้นำฝ่ายค้าน ส่วนนายปดิพัทธ์ตัดสินใจอยากจะทำภารกิจเรื่องรัฐสภาให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพต่อ ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่พรรคก้าวไกลต้องขับนายปดิพัทธ์ออก และนายปดิพัทธ์ต้องหาพรรคการเมืองใหม่ มันก็ตรงไปตรงมา แค่นี้ไม่ได้มีอะไรอำพรางแม้แต่เล็กน้อย
เมื่อถามว่าหากมีหน่วยงานเรียกไปชี้แจงพรรค ก.ก.พร้อมหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า แน่นอนและพรรคได้ชี้แจงไปแล้ว และเท่าที่ทราบนายปดิพัทธ์ก็ได้แถลงข่าวที่รัฐสภาไปแล้ว คิดว่าก็ชัดเจนทั้งสองฝ่าย
ส่วนประเด็นที่ว่าบางพรรคการเมืองวิจารณ์ว่าพรรคก้าวไกลกำลังถอยหลังลงคลอง เนื่องจากบอกว่าจะเล่นการเมืองใหม่แต่กลับไปเล่นการเมืองแบบเก่า นายพิธากล่าวว่า คิดว่ามันไม่ได้เป็นการเมืองเก่าหรือใหม่ แต่ว่าตั้งใจเดินหน้าตามเป้าหมายตามที่รัฐธรรมนูญบังคับไว้ว่าเป็นไปในลักษณะแบบไหน ต้องการเป็นฝ่ายค้านเชิงรุกอย่างที่เคยพูดไว้ ส่วนนายปดิพัทธ์มีความต้องการอยากจะเป็นรองประธานสภาที่ต้องการทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในรัฐสภา และให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น
เมื่อถามต่อว่านายปดิพัทธ์ได้แจ้งหรือไม่ว่ามีความประสงค์จะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองไหน หรืออาจจะเป็นพรรคสำรองของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่าไม่ใช่เป็นการกั๊กทั้งตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 1 และตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านไว้ใช่หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ยืนยันไม่ใช่เป็นการกั๊ก เพราะถ้าเป็นการกั๊กก็ต้องเป็นในลักษณะที่ว่า ทำให้มันพร้อมกัน แต่เรื่องนี้เป็นเหตุผลของพรรคก้าวไกลและส่วนตัวของนายปดิพัทธ์ ซึ่งแยกออกจากกัน เรื่องขับออกจากพรรคไม่ใช่วิธีการที่ง่ายเกินไปเพราะเป็นไปตามกระบวนการ เมื่อพรรคตัดสินใจเช่นนี้จึงไม่สามารถให้นายปดิพัทธ์ตัดสินใจเป็นอย่างอื่นได้ แต่เมื่อนายปดิพัทธ์ตัดสินใจเป็นอย่างอื่นก็ต้องออก เป็นกระบวนการที่ตรงไปตรงมาเท่านั้น
เมื่อถามว่าในอนาคตหากนายปดิพัทธ์มีความประสงค์จะกลับพรรคก้าวไกลพร้อมที่จะรับหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ยังไม่เคยคิดถึงตรงนั้น แต่ตอนนี้ขอทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้เต็มที่ และส่วนตัวยังคงหยุดปฏิบัติหน้าที่อยู่ จึงต้องทำหน้าที่นอกสภาอย่างเต็มที่