‘เสรีพิศุทธ์’ซัด! บุกค้นบ้าน ‘บิ๊กโจ๊ก’ ไม่เหมาะสม / นายกฯ ตั้งกก.สอบปมฉาวแล้ว

“เสรีพิศุทธ์”ซัดไม่ตรงๆ ไม่เหมาะสมเอา “คอมมานโด” พร้อมอาวุธปืนบุกค้นบ้าน”บิ๊กโจ๊ก” ชี้ในอดีตไม่เคยมีปฏิบัติเช่นนี้ เตือนนายกฯ ระวังการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ถ้าไม่เป็นไปตามพ.ร.บ.ตำรวจ มาตรา 78 ระวังคุก 5 ปี ตามมาตรา 87 ขณะที่ นายกฯ ตั้งคณะกรรมกาาตรวจสอบแล้ว เป็นคนนอกทั้งหมด “บิ๊กโจ๊ก” ลั่นรู้ตัวคนสั่งการแล้ว

วันที่ 25 ก.ย.66 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และ อดีต ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์ตำรวจบุกเข้าไปค้นบ้านพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า ต้องแยกกรณีนี้เป็นคนละส่วนกันว่าเข้าไปจับผู้ใต้บังคับบัญชาของ”บิ๊กโจ๊ก” กับเป็นการทำเพื่อเตะขาหรือไม่ ในความเป็นจริงผู้ใต้บังคับบัญชาของ”บิ๊กโจ๊ก”ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ ผบ.ตร.และรองผบ. ตร.ทั้งหมด แต่ในการที่จะไปตรวจค้นตำรวจ 1,2 คน เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ไม่น่าจะใช่เพราะพวกนี้ ไม่ได้ขึ้นตรงเพียงแต่เรียกใช้

ต่อข้อถามว่า มองเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นเวลาประจวบเหมาะที่อีก 1-2 วัน จะมีการพิจารณาแต่งตั้งผบ.ตร.หรือไม่นั้น พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พยายามที่จะตั้ง ผบ. ตร.แล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าเสนอใคร ก็ถูก ก.ตร.หลายท่านคัดค้าน คงเป็นการคัดค้านด้วยเหตุและผลทำให้ถอยไม่กล้าตั้ง จึงตกมาเป็นภาระของนายกฯคนใหม่ ที่จะต้องตั้ง เพราะฉะนั้นนายกจะต้องรู้และเข้าใจกฎหมายตำรวจที่เพิ่งออกใหม่ ซึ่งจากที่ได้อ่านมีทั้งส่วนดีและไม่ดีทั้งนี้ นายกฯเศรษฐา ถ้าเคยอยู่ในวงการการเมืองบ้างก็อาจจะเข้าใจ แต่เป็นคนนอกวงการก็จะไม่เข้าใจ ซึ่งพ.ร.บ.ตำรวจมี 181 มาตรา จึงขึ้นอยู่กับคนให้คำปรึกษา ขณะที่ท่านคงไม่มีเวลาอ่าน เพราะบ้านเมืองมีปัญหาหลายอย่างให้แก้ไขและเชื่อว่านายกฯจะไม่เข้าใจ ถ้าหากท่านแต่งตั้งไม่ทำให้ถูกต้องรัดกุมก็จะถูกดำเนินคดีด้วย

ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เราต้องพิจารณาว่าการเข้าไปค้นบ้านคนระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งผมเป็นตำรวจมาจนเกษียณไม่รู้กี่ปีๆ ก็ไม่เคยเห็นนะ แต่ว่าในการที่จะล้มล้างเอาตำแหน่งกันเนี่ยมีมาก่อน

ซึ่งปกติการจะค้นบ้านนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับรองผบ.ตร. ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ทำไมคราวนี้มันมี แต่จากการฟังคราวนี้ว่าในการค้นไปขอหมายศาล โดยทั่วไปตนผ่านงานมาเยอะแล้ว การจะไปขอหมายศาลจะต้องระบุเอาไว้ ว่าไปค้นบ้านใคร เช่น นาย ก. นาย ข. เลขที่เท่าไหร่และมูลเหตุอะไรเพียงพอ ซึ่งก็จะต้องมีพยานหลักฐานเข้าไปด้วยว่าได้มีการกระทำความผิดกฎหมายเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นจะไม่ผ่านการพิจารณาของศาล ถ้าจะไปบอกว่าค้นบ้านนี้ลอยๆ ไม่ได้หรอก

แต่ที่สำคัญการไปตรวจค้นบ้านครั้งนี้ ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ขนาดนี้ จะต้องมีพยานหลักฐานแน่นหนาและค้นไม่มีพลาด เมื่อไม่กี่ปีมีการตรวจค้นบ้านปลัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งชัดเจนว่าเมื่อตรวจค้นพบเจอเงินทอนต่างๆเยอะแยะก็ติดคุกไป แต่อย่างนี้ผลเป็นอย่างไร ไม่พบการกระทำความผิด ไม่มีหลักฐานใดๆทั้งสิ้น ทำให้มองดูว่าคนที่จะไปตรวจค้น คนที่อยู่เบื้องหลังเหล่านี้ มีพฤติการณ์อย่างไร ตั้งใจความผิดอาญาจริงๆหรือว่า หละหลวม ไม่มีความรู้เชี่ยวชาญ รายการรวบรวมพยานหลักฐาน แค่มองว่าคนนี้เป็นลูกน้องคนนี้ก็เอาแล้ว ไม่ได้หรอกซึ่งระดับสูงต้องชัดเจนตำรวจผู้น้อยอาจจะไม่รู้ แต่ตำรวจผู้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังไม่ปรากฏตัว กับผู้ใหญ่ที่เป็นตำรวจต้องเข้าตรวจค้น เป็นตัวฉากหน้าต้องไปดำเนินการจะต้องรู้ และที่สำคัญ ระดับ รองผบ.ตร. ถ้าไปค้นถูกต้องก็ต้องให้ค้น แต่ทำไมถึงต้องเอาคอมมานโดเข้าไปด้วย เขาให้มาทำงานอย่างนี้เหรอ เอาตำรวจคอมมานโดเข้าไปเต็มเลย จะไปสู้กับใคร ไม่มีหรอกไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงที่จะเอาแต่งตัวชุดตำรวจคอมมาโด มีอาวุธปืน ชุด ป้องกันกระสุน มันใช้ผิดกฎหมายทั้งนั้น ผิดวัตถุประสงค์หมด เพราะฉะนั้นมองรูปการณ์ครั้งนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ซึ่งเชื่อว่าจะให้พี่วิเคราะห์หรือใครวิเคราะห์ ก็จะต้องมีสาเหตุมาจากการที่จะแต่งตั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครั้งนี้

ต่อข้อถามสาเหตุมาจากคดี”กำนันนก”เป็นไปได้หรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ก็มีความเป็นไปได้ แต่พี่เป็นคนนอกแล้ว ก็อาจจะคิดเรื่องโน้น เรื่องนี้ ถ้าพี่อยู่วงใน ก็อาจจะรู้ ซึ่งเรื่องต่างๆเหล่านี้ก็อาจจะเห็น แต่ไม่ได้เนื้อแท้จริง แต่ลักษณะอย่างนี้พี่ผ่านมาเยอะแล้วจะให้วิเคราะห์ว่ายังไง เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ สื่อจะให้วิเคราะห์อย่างไร หมายความว่าอีก 2 วันจะแต่งตั้ง แล้วผลจะเป็นอย่างไร เขาจะแต่งตั้งผู้มีอาวุโสอันดับ 1 ไหม หรือตั้ง 2 ,3,4 ในทำนองนี้ คิดว่ามีอิทธิพลภายนอกที่เข้ามาครอบงำนายกฯหรือไม่

ทั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้ย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า คิดเช่นนี้ไหม ถ้าคิด ตนฝากเตือนนายกรัฐมนตรีให้ดีว่าต้องคิดให้รอบคอบ ซึ่งวันนี้ได้เอากฎหมายตำรวจ ในส่วนที่เกี่ยวข้องคือมาตรา 78 มีเนื้อหาว่าการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตามมาตรา 77 (1) นายกรัฐมนตรีคัดเลือกรายชื่อ โดยให้คำนึงถึงอาวุโสและ ความรู้ความสามารถ ประกอบกัน ซึ่งอาวุโสชัดเจนว่าใคร 1,2,3,4 แล้วความสามารถคืออะไร จะมาพูดกันลอยๆไม่ได้ ต้องมีเหตุผลชัดเจน ซึ่งความสามารถจะไม่เหนือกว่าอาวุโสก็ไม่ได้ ต้องใช้ประกอบกัน แต่ความรู้ความสามารถ ต้องพิจารณาให้ดี จากมาตรา 78 ที่ระบุว่าโดยเฉพาะประสบการณ์ สืบสวนสอบสวน หรืองานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม หากผลงานไม่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ชัด ซึ่งเฉพาะวรรคนี้ในมาตรานี้นายกฯจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ” 30 ปีกว่าที่ทุกคนจะขึ้นมาเป็นระดับรอง ผบ.ตร.ทุกคนก็ต้องมีความรู้ความสามารถหมด เดิมในอดีตตั้งอันดับ 1 หมด ไม่มีตั้งอันดับ 2, 3 ,4 หากตามนี้อาวุโสระดับรองลงไปก็จะไม่คิดเลื่อยขาเก้าอี้เขา ฉกชิงวิ่งราว เอาตำแหน่งโน้นตำแหน่งนี้ให้ได้ ไปประจบสอพลอการเมือง ผู้มีอำนาจ แสวงหาผลประโยชน์ไปยัดเยียดให้ แต่ในระยะหลังเริ่มข้ามอาวุโสกัน เพราะปล่อยให้มีการวิ่งเต้นกัน มีการเมืองเข้ามาแทรกมาก ดังนั้น ฝากถึงนายกฯว่าให้ตั้งตามอาวุโสและคนที่มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ในการสืบสวนสอบสวนป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ถึงผมจะไม่พูดว่าประสบการณ์ใครมากกว่ากันเป็นเรื่องที่นายกต้องไปพิจารณาเอง แต่อาวุโสบอกอยู่แล้วว่าใคร 1 2, 3 ,4″ อดีต รองผบ.ตร.กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในพรบ.ตำรวจ ก็มีข้อดี ตามมาตรา 87 ระบุว่า หากใครเห็นว่าตนไม่รับความเป็นธรรม ในการแต่งตั้งก็มีสิทธิ์ที่จะร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการพัฒนาระบบคุณธรรม และให้ถือคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯเป็นที่สุด ทั้งนี้หาก คณะกรรมการดังกล่าว ไม่ให้ความเป็นธรรมแล้ว บุคคลนั้น ก็ยังสามารถไปร้องต่อศาลปกครองสูงสุดได้ และหากศาลปกครองวินิจฉัยว่า การแต่งตั้งไม่กระทำตามหลักเกณฑ์ นายกฯก็จะมีความผิดจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งก็จะถูกสั่งห้ามเล่นการเมืองตลอดชีวิตเหมือนคุณพรรณิการ์ และปารีณา แต่ไม่เพียงแค่นั้นยังกำหนดว่าให้ผู้บังคับบัญชา ผู้มีอำนาจพิจารณาลงโทษภายใน 30 วัน ถ้าแต่งตั้งไม่เป็นไปตามกฎหมายที่ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการพัฒนาระบบคุณธรรมหรือศาล ซึ่งกรณีนี้ว่ามีความผิดตามมาตรา 157 ชัดเจน

ทั้งนี้ หากบอกว่าเป็นการแต่งตั้งโดยแอบอ้างใคร หากสมมุติ เบอร์ 1 ควรจะได้ไม่ได้รับการแต่งตั้ง ถือว่าชอบด้วยหลักเกณฑ์ตามนี้หรือไม่ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หากนายกฯพลาดโดนตัวนี้ ซึ่งไม่มีโทษปรับหรืออะไรทั้งสิ้นจำคุก 5 ปี ฝากถึงคุณเศรษฐาว่าอีก 2 วัน หากแต่งตั้งโดยแอบอ้างบุคคลว่าไปรับคำสั่งใครมา แต่งตั้งคนโน้นคนนี้ หรือไม่กระทำตามกฎหมาย ซึ่งหากมีคนเสียหายก็สามารถฟ้องได้ รวมทั้งบุคคลภายนอกก็สามารถฟ้องได้โดยไปฟ้องที่ ป.ป.ช. หรือผู้เสียหายโดยตรงสามารถฟ้องอาญาทุจริตได้ ทั้งนี้ หากนายกฯไม่เป็นตัวของตัวเองไปรับคำสั่งใครมาโดยไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 พรบ.ตำรวจ จะฝ่าฝืนมาตรา 87

ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2566 เวลา 08.06 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เดินทางเข้าปฏิบัติหน้าที่ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนเวลา 09.00 น. ได้เดินลงจากตึกไทยคู่ฟ้า มายังห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 เพื่อเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ยกมือรับไหว้สื่อมวลชน

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้ตั้งคณะกรรมการสอบกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เรียบร้อยแล้วหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ครับ ตั้งเรียบร้อยแล้วครับ ลงนามแล้ว พร้อมทำมือ 3 นิ้ว เมื่อถามว่าเปิดรายชื่อได้หรือไม่ใครเป็นประธาน นายกฯ กล่าวว่า รอดูประกาศนะครับ ตั้งเรียบร้อยแล้ว โดยมีรายงานข่าวระบุว่า คณะกรรมการทั้งหมด้ป็นบุคคลภายนอกทั้งหมด ไม่มีข้าราชการตำรวจรวมอยู่ด้วย

โดยก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. กล่าวภายหลังเข้าประชุมกับชุดทำงานถึงกระแสข่าวโยกย้ายภายหลังถูกตำรวจคอมมานโดกองปราบปรามและตำรวจไซเบอร์ นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านพักภายในซอยวิภาวดี 60 พร้อมทั้งออกหมายจับลูกน้องคนสนิท ซึ่งเป็นมือทำคดี 8 นาย ว่า ยังไม่มีตนยังไม่เห็นคำสั่ง และตนจะเดินทางไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อประชุมตามปกติ

“ตอนนี้ยังไม่มีข้อกล่าวหา จึงยังไม่ต้องชี้แจงหรือต่อสู้คดี แต่ตั้งประเด็นเพราะเรื่องการค้นบ้านของผม มีความผิดปกติ โดยอาศัยการขอหมายค้นแค่บ้านเลขที่ แล้วขอเข้าตรวจค้น หากไปถามใครก็รู้ว่าเป็นบ้านของตน เลยมองว่าเป็นการเตรียมการมาแล้ว เชื่อว่าไม่มีอำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซง แต่เป็นการเมืองภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขณะนี้ทราบแล้วว่าใครเป็นคนสั่งการ”รอง ผบ.ตร.กล่าว