“สรรเพชญ” สับรัฐบาลไม่จริงใจกระจายอำนาจ ผุดผู้ว่าฯCEO ไม่เห็นหัวท้องถิ่น

“สรรเพชญ” สับเละ รัฐบาลไม่จริงใจกระจายอำนาจ ไม่เห็นหัวท้องถิ่น ผุดผู้ว่าฯซีอีโอ สร้างความแข็งแกร่งให้ส่วนภูมิภาค สวนทางตอนหาเสียง ชี้ แค่วาทกรรมประชาธิปไตยอำพราง เพื่อคะแนนเสียง หวัง สภาร่างรธน.ที่จะเกิดขึ้น ยกกระจายอำนาจเป็นวาระหลัก

วานนี้ (12 ก.ย. 2566) ที่อาคารรัฐสภา นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมอภิปรายวาระเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2562 โดยระบุว่า

“ต้องขอเรียนกับทุกท่านด้วยความเคารพอย่างตรงไปตรงมาว่า จากที่ได้อ่าน ได้ฟังนโยบาย เหมือนจะดูดี เหมือนจะเคลิบเคลิ้มตาม ว่านี่คือทิศทาง แนวทางการบริหารงานของท่าน ที่จะมาแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน แต่ภายใต้คำที่สวยหรู กลับเห็นอนาคตที่มืดมน ไร้ทิศทาง ในหลาย ๆ นโยบายที่ท่านได้หาเสียงไว้ เมื่อขมวดมาแล้ว กลับเห็นแต่นามธรรมกว้าง ๆ จับต้องไม่ได้”“เท่าที่ทราบมา หลักการของการ กระจายอำนาจ คือ การลดบทบาท อำนาจภารกิจ หน้าที่ของรัฐส่วนกลาง รวมทั้งรัฐส่วนภูมิภาคลง และเอาอำนาจนั้นไปเพิ่มศักยภาพให้กับท้องถิ่น ทั้งในเรื่องงบประมาณ และทรัพยากรให้เขาสามารถดูแลตนเอง แต่เมื่อฟังท่าน แถลงนโยบายเรื่องผู้ว่า CEO แล้ว เหมือนเป็นการสนับสนุนต่อยอดการกระจายอำนาจของไทยให้พัฒนาขึ้น แต่ผมคิดว่าตรงนี้ท่านอาจเข้าใจผิด สับสน หรืออาจแกล้งสับสน ที่กระผมพูดเช่นนี้ เพราะว่า แนวคิดเรื่องผู้ว่า CEO มันคือโลกคู่ขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบกัน ไม่เชื่อท่านลองขีดเส้น 2 เส้นดู อย่างที่ผมนำเรียนครับ มันเป็นคนละเรื่อง คนละหลักการกัน เนื่องจากแนวคิดเรื่องผู้ว่า CEO คือ การบริหารงานแบบเอกชน แบบบริษัท ที่รวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจไว้ที่เบอร์หนึ่งของจังหวัด อำนาจรัฐที่มันกระจุกตัวไปที่ผู้ว่า CEO เช่นนี้ มันไม่ใช่การกระจายอำนาจ หากแต่มันเป็นการขยายอำนาจรัฐส่วนกลาง ไปสู่ส่วนภูมิภาคให้กว้างขึ้น”

“มาถึงตอนนี้เราสามารถสรุปได้ไหมครับ ว่านโยบายหาเสียงของท่านมันเป็นเพียงวาทกรรมประชาธิปไตยอำพราง เพื่อคะแนนเสียง เพราะ ท่านบอกว่าจะท่านจะเลือกตั้งผู้ว่าในจังหวัดที่มีความพร้อม ท่านบอกว่าท่านจะยกระดับพื้นที่เพื่อเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ ๆ แต่ภายหลังที่ท่านได้รับโอกาส ให้จัดตั้งรัฐบาล กลับไม่ปรากฏนโยบายเหล่านี้ ในการแถลงของท่านแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำท่านยังจะทำเรื่องที่ตรงกันข้าม ไม่ต่อยอดการกระจายอำนาจไม่ว่า แต่ท่านกลับกระจุกอำนาจ และรวมศูนย์อำนาจ ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้ง กระผมชักไม่แน่ใจ หากจะใช้คำว่า โกหกประชาชน ได้หรือไม่ หรือคำว่า โกหก มันอาจน้อยไปสำหรับท่าน”

นายสรรเพชญ ยังได้ยกตัวอย่างสถิติงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เห็นความพยายามผลักดัน การกระจายอำนาจในประเทศไทย ผ่านการจัดสรรงบประมาณสู่ท้องถิ่น โดยกล่าวว่า “ผมอยากให้ดูสถิติที่น่าสังเวชใจครับท่านประธาน เกือบ 30 ปี ที่เรามุ่งผลักดันการกระจายอำนาจมา เราสามารถจัดสรรงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ไม่ถึง 30% ของรายได้สุทธิของรัฐบาล ซึ่งแท้ที่จริงแล้วความมุ่งหมายของกฎหมายกระจายอำนาจต้องการให้ทะลุเพดาน คือ 35% สิ่งที่ท่านกลัว คือ ท่านกลัวว่าถ้ากระจายอำนาจให้ท้องถิ่น คือความสุ่มเสี่ยงที่จะเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นมีการทุจริตคอรัปชั่นมากขึ้น แต่จากฐานข้อมูลงานวิจัยในปี 2564 พบว่าการทุจริตของ อปท. นั้นสร้างความเสียหายน้อยกว่าส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และรัฐวิสาหกิจ ขณะที่งบการเงินของท้องถิ่นได้รับการรับรองจาก สตง. ในสัดส่วนที่สูงกว่าภาครัฐ และ รัฐวิสาหกิจ ด้วยซ้ำไป”

อย่างไรก็ตาม นายสรรเพชญกล่าวในตอนท้ายโดยสรุปว่า ตนยังมีความหวังอยู่ริบหรี่ ว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่อาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้าไม่นานนี้ จะนำเอาวาระเรื่องการกระจายอำนาจ เข้าไปเป็นวาระหลักวาระหนึ่ง ในการจัดทำรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักประกันว่าท้องถิ่นในยุคต่อไปจะได้รับการเอาใจใส่ และมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด.