“หมอเอก” โต้ กระแสวิพากษ์ สธ.ยุค “อนุทิน” ชี้ อคติเยอะ แต่หลักฐานน้อย

50

อคติเยอะ หลักฐานน้อย ! “หมอเอก” นพ.เอกภพ เพียรวิเศษ โต้ “อาจารย์หมอท่านหนึ่ง” ปมวิจารณ์ ผลงานกระทรวงสาธารณสุข ยุค “อนุทิน” จ่อแฉลับลวงพรางแก๊งตระกูล ส.

วันที่ 2 กันยายน 2566 เฟซบุ๊ก “หมอเอก Ekkapob Pianpises” ของ นพ.เอกภพ เพียรวิเศษ อดีต คณะกรรมาธิการ กมธ. การสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ปรากฏข้อความระบุว่า

เห็นอาจารย์แพทย์บางท่านเขียนลงเฟซบุ๊ก ในทำนองจดหมายเปิดผนึกถึง รุ่นน้องที่จะได้มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ ด้วยเนื้อความที่ดูเป็นการโจมตี การบริหารจัดการกระทรวงสาธารณสุข ที่อาจจะต้องการโจมตีการบริหารงานของรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา แต่ด้วยความไม่มีข้อมูลหลักฐาน และ กล่าวหากว้างๆ เหมือนเป็นการบรรยายความคิดเห็นที่เต็มไปด้วย “อคติส่วนตัว” และ เหมือนเป็นการกล่าวหากระทรวงสาธารณสุขในภาพรวม

ผมอาจไม่ได้จบแพทย์จากมหาวิทยาลัยที่จะอ้างว่าเป็นรุ่นน้องของอาจารย์คนนั้นได้ เพราะผมจบจากคณะแพทย์มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด

ผมไม่ได้เป็นอาจารย์แพทย์ใน โรงเรียนแพทย์ชั้นนำของประเทศ แต่ผมมีประสบการณ์ทำงานในโรงพยาบาลชุมชนตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นของ “บัตรทอง” และผมเป็นแพทย์รุ่น ที่ในช่วงแรกได้เป็นพนักงานของรัฐ ไม่ได้เป็นข้าราชการ แล้วย้ายมาในโรงพยาบาลศูนย์ ก่อนจะลาออกจากราชการไปเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชน และมีช่วงหนึ่งที่ได้ไปเป็นแพทย์ในช่วงเริ่มต้นของคณะแพทย์ที่ตั้งใหม่

จนกระทั่งมาได้ทำหน้าที่เป็น สส. ซึ่งติดตามงานด้านสาธารณสุขผ่านกรรมาธิการสาธารณสุข จากประเด็นการบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่มีการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้ประชาชนเพิ่มขึ้น ไม่ได้เป็นประชานิยมครับ !!!

แต่เป็นการทำตามสิ่งที่เราเรียกว่า Patient-centered ซึ่งเราก็สอนให้นักศึกษาแพทย์รุ่นใหม่มีความคิดแบบนั้นมิใช่หรือ ?

ประชาชนได้ประโยชน์จากการฟอกไตใกล้บ้าน ,ประชาชนได้ประโยชน์จากการรักษามะเร็งที่ไม่ต้องเดินทางไกลและไม่ต้องรอคิวนาน , ประชาชนได้รักษาใส่สายสวนหัวใจ ได้ผ่าตัดหัวใจ ได้สวนเส้นเลือดที่อุดตันที่สมอง ได้ยาสลายลิ่มเลือดที่อุดตันในสมองอย่างทันท่วงที, ประชาชนที่ป่วยติดเตียงได้รับแพมเพิส แผ่นรองฟรี, ประชาชนได้ความสะดวกจากการปรับระบบมาเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ และจะมาเป็นรักษาถึงที่ในอนาคต, ประชาชนที่เจ็บป่วยเล็กน้อยเริ่มไปรับยาที่ร้านขายยาตามสิทธิได้ฟรี

เพิ่มความเข้มแข็งให้กับ อสม. เพื่อช่วยขับเคลื่อนระบบการแพทย์ปฐมภูมิ แบบนี้จะบอกว่าไม่ดีหรือ???

แล้วในส่วนของบุคลากรที่มีการบรรจุเป็นข้าราชการครั้งใหญ่ถึงกว่า 40,000 อัตรานี่ไม่ได้ทำเพื่อคนที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์หรือ???

แล้วที่อ้างถึงเรื่องโควิดที่อ่านแล้วคล้ายกับว่าจะกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน นี่อยากรู้จริงๆ ว่ามีข้อมูลมั้ยว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนตรงไหน ใครมีข้อมูลส่งมาให้ผมได้นะครับเพราะผมมีข้อมูลที่ได้จากกรรมาธิการการสาธารณสุขพอสมควร ซึ่งพอจะแสดงให้เห็นได้ว่ากลุ่มคนที่น่าสงสัยจะได้ประโยชน์เป็นกลุ่มไหน ซึ่งผมได้เคยเขียนถึง พูดถึงอยู่หลายครั้ง

ในเรื่องของการโยกย้ายข้าราชการในกระทรวง นี่ข้อความของอาจารย์ ดูเหมือนจะไปละม้ายคล้ายกับที่เคยมีคนบางกลุ่มใช้ เนื่องมาจากกลุ่มนั้นเสียประโยชน์จากการโยกย้ายจึงออกมาโจมตีการโยกย้าย หรือที่อาจารย์เขียนถึงเรื่องนี้เพราะฟังเขาเล่ามา ?

เรื่องบุหรี่ไฟฟ้าที่บอกว่าเกียร์ว่าง นี่ใครกันที่เกียร์ว่าง ???

ทั้งที่เห็นกันอยู่ว่าที่แบนกันอยู่ทุกวันนี้มันเป็น “แบนทิพย์” เป็นการแบนเพื่อไปขอรางวัลจากต่างประเทศว่าเราเป็นประเทศที่แบนบุหรี่ไฟฟ้า??? แต่สภาพในประเทศคือควบคุมอะไรไม่ได้… ทำไมไม่ยอมให้มีการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าเหมือนที่ควบคุมบุหรี่ล่ะ ? เพราะถ้าบอกบุหรี่ก็คุมไม่ได้ก็เปลี่ยนให้คนอื่นมาทำเถอะครับ งบประมาณปีละ 3-4 ร้อยล้านบาทไม่ใช่น้อยนะครับ

แล้วที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็แข็งขันในเรื่องนี้ตามข้อเสนอของพวกท่านมิใช่หรือ ?!!!

ถ้าจะให้ใส่เกียร์เดินหน้าก็ลองไปดูข้อเสนอของการศึกษาในหลายชุดที่สรุปแล้วดูได้ครับว่าจะเดินหน้าเต็มที่ได้ยังไง

และ ผมมีของแถมด้วยครับว่า จากการทำงานในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาผมมีข้อมูลผังความเชื่อมโยงของเครือข่ายอยู่เครือข่ายหนึ่งที่ได้ผลประโยชน์จากงบประมาณด้านสาธารณสุขมานาน เหมือนที่ผมเคยได้อภิปรายในสภา

มีการตั้งตนเป็นผู้เชี่ยวชาญ เข้ามาบริหารจัดการงบประมาณผ่านเครือข่ายทั้งในกระทรวงสาธารณสุข และในหน่วยงานตระกูล ส. โดยมีการกระจายให้คนในกลุ่มของตนทั้งงบวิจัย ทั้งงบทำงาน และบางครั้งกระจายงบไปถึงมูลนิธิที่ตั้งขึ้นมาทำงานเป็นเครือข่าย คนกลุ่มนี้ต่างหากที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าแตะ แต่ผมกล้า และผมจะทำต่อครับ !!!