‘จตุพร’ฉะ‘เพื่อไทย’ซ่อนเกม แต่งตัวซบ‘พรรค 2 ลุง’มาร่วมรัฐบาล เฉ่งทำการเมืองบัดสีบัดเถลิง ยอมเดินเกม‘ขอขมา’ก้าวไกลให้เสียง 150 มาโหวตนายกฯ เชื่อรู้ทั้งรู้ไม่ได้ แต่ต้องทำไปหวังเป็นข้ออ้างตระบัดสัตย์ไปจับมือ‘พปชร.-รทสช.’
วันที่ 10 สิงหาคม 2566 เพจเฟซบุ๊กนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เผยแพร่เนื้อหารายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ยาวไป…” ระบุว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยยกโขยงไปขอขมา ขอโทษพรรคก้าวไกล พร้อมขอให้มาโหวตนายกฯ เพื่อไทย ทั้งที่มีพฤติกรรมแข็งกร้าวสลัดทิ้ง แยกทางกับก้าวไกลมาแล้ว ดังนั้นพฤติกรรมเช่นนี้จึงเป็นเกมการเมืองเพื่อแต่งตัวไว้รอนำมาเป็นเหตุผลอ้างไปจับมือข้ามขั้วกับพรรค 2 ลุงตั้งรัฐบาล
นายจตุพร กล่าวว่า ตนหวังว่าพรรคก้าวไกลควรจดจำบทเรียนถูกหลอกมาแล้ว และคงไม่โง่ไปทำซ้ำอีก ในสถานการณ์การเมืองล่าสุดพรรคเพื่อไทยบอกจะไปขอขมาพรรคก้าวไกล ดังนั้นสิ่งสำคัญก้าวไกลต้องรู้ตัวเองเช่นกันว่า วิถีของเพื่อไทยยิ่งกว่าชีวิตบัดซบเสียอีก
“หากก้าวไกลยังไม่มีคำตอบให้ แต่เพื่อไทยคงใช้เป็นเหตุผลอ้างไปคิดชั่วชวนพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยอ้างก้าวไกลไม่มาโหวตนายกฯให้ จึงไม่มีทางเลือกอื่นในการตั้งรัฐบาลที่มีเพื่อไทยเป็นแกนนำ”
นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ถ้าก้าวไกลอยู่นิ่งๆต่อให้มีงูเห่า รทสช.กับ พปชร.เลื้อยมาให้เพื่อไทยชุบเลี้ยงก็ตาม ก็คงจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้อยู่ดี โดยคาดว่าจะมีเสียงจาก สส. 349 เสียง แต่ยังขาดอีกประมาณ 25-26 เสียงจะถึง 376 เสียง จึงต้องขอจาก สว.มาช่วยโหวต แต่คงถูก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ล็อคอยู่ดี
ดังนั้นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล บอกว่า รับฟังเพื่อไทยมาขอขมาอย่างมีวุฒิภาวะ จึงคิดถูกแล้ว เพราะการเมืองครั้งนี้มันบัดสีบัดเถลิง ซึ่งไม่เคยเจอมาก่อนว่าพรรคการเมืองจะกล้าทำกันได้ขนาดนี้ ถึงต้องเดินไปขอขมาแบบคนหน้าด้านมีนกันเลย
“ทั้งหมดของเพื่อไทยไปขอขมานั้น ทั้งที่รู้ว่าก้าวไกลให้ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าให้ได้เท่ากับก้าวไกลเสียคน แต่เมื่อก้าวไกลไม่ให้จึงเป็นการแต่งตัวไปทำชั่วชวน พปชร.กับ รทสช.มาร่วมตั้งรัฐบาล แล้วทำหน้าเศร้าพูดว่า ไม่เคยคิดมาก่อนเลย ดังนั้น จึงขอร้องประชาชนอย่าเพิ่งเบื่อการตั้งรัฐบาล ต้องรอดูสันดานนักการเมืองกันยาวๆ”
นายจตุพร เสนอว่า การเลือกตั้งปี 66 เพื่อไทยได้ปลุกสีเสื้อแดงกลับมาอีกครั้ง ทั้งที่สลายสีเสื้อไปแล้ว แต่เพื่อไทยนำสีแดงมาสวมใส่ปราศรัยเรียกร้องให้กลับบ้านมาลงคะแนนเสียง ซึ่งเป็นการใช้สีแดงอย่างขาดความรับผิดชอบ เมื่อปลุกสีแดงขึ้นมาให้เกิดความชิงชัง แต่หลังเลือกตั้งปี 66 กลับประกาศสลายขั้ว คิดไปจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมาทางการเมืองมานับเกือบ 20 ปี ไม่เพียงเท่านั้น ยังจะลากสีแดงข้ามไปจับมือกับพรรค 2 ลุงมาร่วมตั้งรัฐบาลอีก
“ในเสื้อสีแดงมันมีคนตายและบาดเจ็บ หากจะสลายสีเสื้อต้องทำก่อนเลือกตั้ง 66 แต่เพื่อไทยกลับระดมปลุกความแค้นเคืองกันเต็มเมืองและเรียกร้องให้กลับบ้าน เพื่อมาจับมือกับ ปชป.ใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงขอให้คิดดูดีๆ เพราะทั้งหมดนั้น เพื่อไทยทำเองทั้งนั้น ไม่มีใครไปทำอะไรเลย เหมือนสลัดมือก้าวไกลก็ทำเอง แล้วก็ไปง้อ ไปขอขมา ซึ่งคงเป็นการแต่งตัวเพื่อไว้เป็นเหตุผลข้ออ้างไปหาพรรค 2 ลุง ซึ่งไม่แฟร์กับประชาชน”
นายจตุพร กล่าวว่า เพื่อไทยต้องยอมรับความจริง และควรมีความอับอาย ยิ่งนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นคนผ่านเหตุการณ์เดือนตุลา ตอนสลัดก้าวไกลยื่นคำขาดแข็งกร้าวให้แยกทางกัน แล้วไม่กี่วันก็มาขอขมา และการแยกทางกันนั้น มันเป็นการตัดสินใจทางการเมืองของเพื่อไทยทั้งสิ้น
“ความเป็นคนนั้นจะใหญ่กว่าสีเสื้อที่ใส่ โดยพฤติกรรมบางอย่างอย่าว่าใส่เสื้อสีไหนเลย ให้เอามาตรฐานคนให้ผ่านก่อน ว่าเป็นคนหรือเปล่าที่ต้องทำอย่างนั้น เพื่อจะเข้ามาเป็นประมุขฝ่ายบริหาร มาปกครองประเทศ ซึ่งต้องเป็นคนดี ไม่ใช่คนกะล่อน คนสับปลับมาปกครอง”
นายจตุพร ระบุว่า ประชาชนเรียกร้องให้เพื่อไทยกับก้าวไกลดีกัน โดยมาเริ่มต้น MOU เดิมบนความเสมอภาคต่อกัน ไม่ใช่เพื่อไทยมาขอขมาให้ก้าวไกลให้โหวตนายกฯ แบบฟรีเพื่อช่วยเพื่อไทย แล้วก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านตามเดิม มันเป็นพฤติกรรมเอาทุกอย่างหมด ดังนั้น เพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองแบบไหนกัน ถ้าเพื่อไทยกับก้าวไกลจับมือกันให้เหนียวแน่น รอเวลา สว.หมดสิทธิ์โหวตนายกฯ หากมีช่องเจรจาก็หารือกันเพื่อหาทางออกบ้านเมือง ถ้าไม่มีช่องทางอื่นที่ดีแล้วต้องยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งมาใหม่ สิ่งนี้เป็นช่องทางประชาธิปไตยที่ควรกระทำ ไม่ใช่เลือกตั้งแล้วจะต้องเป็นรัฐบาลอย่างเดียวเท่านั้น
นายจตุพร ย้ำว่า แล้วประชาชนจะต้องได้รัฐบาลที่มีพฤติกรรมแบบวันนี้พูดอย่าง พรุ่งนี้พูดอย่าง ใครจะเชื่อถือ ถ้าพรุ่งนี้ก้าวไกลไม่ให้ขมา นิ่งไม่โหวตนายกฯให้เพื่อไทย แล้วเพื่อไทยต้องด่าต่อหรือไปขอขมาซ้ำอีกหรือไม่ ซึ่งประชาชนจำเป็นต้องมายอมรับพฤติกรรมอย่างนี้ของพรรคการเมืองหรือไม่ เพื่อไทยอย่ามาอ้างถึงวิกฤตเศรษฐกิจ หรือวิกฤต รธน. เมื่อครั้งหาเสียงอ้างต้องปิดสวิตซ์ สว.และ 3 ป. แต่พอถึงวันนี้กลับตระบัดสัตย์ แล้วยังจะไปต่ออีก ด้วยการอธิบายใหม่ในเรื่องเดิมที่คนเชื่ออีกอย่าง
อย่างไรก็ตาม คนที่จะมาเป็นรัฐบาลต้องเริ่มต้นด้วยความศรัทธา ความชอบธรรม ตรงไปตรงมา และที่สำคัญที่สุดคนไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้ จะเชื่อได้อย่างไรว่า เป็นคนสุจริต เพราะแค่คำพูดก็ทุจริตแล้ว ซึ่งส่อจบลงแบบเดิมด้วยการหนีถูกยึดอำนาจไปไม่พ้น
“จากนี้ไปวิกฤตเศรษฐกิจจะหนักกว่านี้ เพราะคนจะออกมาเต็มถนน อีกอย่างวิกฤต รธน.และการแก้ไขต้องอยู่ที่ประชาชน ไม่ใช่นักการเมือง ด้วยพฤติกรรมและน้ำหน้านักการเมืองแบบนี้จะมาแก้ รธน.เหรอ ควรต้องไปแก้สันดานตัวเองก่อนหรือไม่ เพราะที่มีปัญหา รธน.ก็คือวิกฤตสันดานของคุณเอง สันดานคุณควรแก้ก่อน รธน.”
นายจตุพร ระบุว่า ส่วน พปชร.กับ รทสช.จะยอมให้เพื่อไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลและนายกฯ หรือไม่นั้น นายเศรษฐา ทวีสิน ไม่ได้เป็นนายกฯ แน่นอน โดยเกมที่กำลังเดินกันอยู่ต้องการลากไปถึงอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ เพื่อมุ่งปิดฉากการเมืองของตระกูลชินวัตรอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้นายทักษิณ จะกลับบ้าน ย่อมเป็นการลากให้มาติดกับดักทั้งสิ้น
นายจตุพร กล่าว พรรคการเมืองนั้น ไม่มีอะไรดีกว่าการซื่อตรงกับประชาชนอีกแล้ว เมื่อประชาชนตัดสินใจมาอย่างไร และตัวเองยังให้คำมั่นสัญญากับประชาชนไว้ เมื่อตัวเองจะตระบัดสัตย์ สิ่งแรกต้องรู้สึกสงสารประชาชนก่อน ยิ่งประชาชนต่อสู้บาดเจ็บล้มตาย เดือดร้อนแสนสาหัส ตัวเองต้องไม่กล้าทำในสิ่งเหล่านี้ เมื่อประชาชนเชื่อและเลือกมาแล้ว เพื่อไทยจะอ้างมาใช้เป็นเหตุต้องตั้งรัฐบาลและได้นายกฯ แล้วในทางปฏิบัติจะไปอย่างไรต่อ แต่ถ้าเป็นรัฐบาลจะอยู่ได้อย่างไร จะมีหน้าไปพบประชาชนได้อย่างไร
“ทุกปัญหามีทางออกอยู่แล้ว และต้องไม่อ้างเอาผลประโยชน์ประเทศมาอยู่ภายใต้ผลประโยชน์ส่วนตัว เมื่อแยกส่วนตัวกับประเทศได้ ก็จะมองเห็นทางออก แต่เพื่อไทยกลับอ้างประเทศชาติ อ้างวิกฤติบ้านเมือง โดยความจริงแล้วมันเป็นความต้องการของคุณ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติรอบใหม่ เมื่อถึงเวลาคุณก็ไม่รับผิดชอบอะไรอีก”