เศรษฐา ทวีสิน อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ จบปริญญาตรี (เศรษฐศาสตร์) จาก University of Massachusetts ปริญญาโท (บริหารธุรกิจ-การเงิน) จาก Claremont Graduate School ประเทศสหรัฐอเมริกา
อภิชาติ จูตระกูล ประธานกรรมการ จบปริญญาตรี (การเงิน) จาก Utah State University ปริญญาโท (บริหารธุรกิจ) จาก University of San Diego ประเทศสหรัฐอเมริกา
วันจักร์ บุรณศิริ กรรมการบริหารความเสี่ยง จบปริญญาโท (วิศวกรรมเคมี) จาก Imperial College of Science Technology and Medicine University of London ประเทศอังกฤษ
ทั้ง 3 คนนี้…ก่อนที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ให้ “แสนสิริ” ไม่ได้เริ่มต้นก่อร่างสร้างฐานะจากศูนย์ แต่นับได้ว่าทั้งหมดได้เริ่มต้นในระดับเศรษฐีเสียด้วยซ้ำไป เพราะหากไล่เรียงสาแหรกของ 3 คนนี้จะพบว่ามาจากตระกูลธุรกิจที่เก่าแก่และปักหลักตอกเสาเข็มแน่นหนาในเมืองไทยมานานหลายปี นอกจากนั้นยังเป็นตระกูลที่มีคอนเน็คชั่นทางสายเลือดกับตระกูลดังในเมืองไทยอีกหลายตระกูล
ตระกูลล่ำซำ…ตระกูลนี้มีประวัติในการทำธุรกิจที่น่าสนใจ ตามคำเปิดเผยของคุณหญิงชัชนี จาติกวณิช ทายาทคนหนึ่ง ในหนังสือ “ดั่งสายลมที่พัดผ่าน” ได้เล่ารายละเอียดไว้ว่าคุณชวด “อึ้งเมี่ยวเหงี่ยน” ของท่าน ซึ่งเป็นชาวจีนแคะได้เดินทางเข้ามาสู่สยามตั้งแต่สมัยต้นรัชกาลที่ 5 เริ่มทำธุรกิจทางด้านป่าไม้ และทำสัมปทานป่าไม้อยู่แถวจังหวัดแพร่ และนครสวรรค์
ในเวลาต่อมาทายาทคนหนึ่งคือ “อึ้งยุกหลง” ได้สืบทอดธุรกิจและได้ขยายงานออกไปทำธุรกิจทางด้านโรงสีข้าว น้ำตาล และมาเริ่มธุรกิจทางด้านประกันภัย และธนาคาร เมื่อช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 ธุรกิจประกันภัยใช้ชื่อว่า “กวางอันหลงประกันภัย” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “ล่ำซำประกันภัย” ซึ่งก็คือ “ภัทรประกันภัย” ในปัจจุบัน
ส่วนธนาคาร “ก้วงโกหลง” นั้นต่อมาได้ปิดตัวลง เพราะผลกระทบจากนโยบายของคณะราษฎร อึ๊งยุกหลง มีลูกชายคนหนึ่งชื่อ “โชติ” แต่งงานกับ “น้อม อึ๊งภากรณ์” พี่สาวของ “ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์” มีลูกชายหญิงทั้งหมด 8 คนคือ บัญชา, ชูจิตร, ชัชนี, ชนาทิพย์, บรรจบ, บรรยงค์, ยุตติ และ ยุพิน
โชติเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารกสิกรไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2488 ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ปัจจุบัน “บัณฑูร ล่ำซำ” ลูกชายของ “บัญชา ล่ำซำ ” เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่
จูตระกูล มีความสัมพันธ์กับทาง กลุ่มล่ำซำ ตั้งแต่สมัย ยุพิน จูตระกูล เป็นหนึ่งในผู้เข้าถือหุ้นตามคำเชิญชวนของ โชติ ล่ำซำ เพื่อก่อตั้งธนาคารเมื่อปี พ.ศ.2488 ชู จูตระกูล ลูกชายคนหนึ่งของยุพินได้แต่งงานกับ มีเลียน น้องสาวของมีเซียม ยิบอินซอย ชูกับมีเลียน มีลูก 5 คนคือ โชติ, ชูเชิด, ชดช้อย, แช่มชื่น และ ชัช
กลุ่มยิบอินซอย ทำธุรกิจการเงินมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2513 มาในปี พ.ศ.2530 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเอกธนกิจ และถูกรัฐบาลของ ชวน หลีกภัย สั่งปิดเมื่อปี พ.ศ.2540
ชนาทิพย์ ล่ำซำ ลูกสาวคนหนึ่งของ โชติ ล่ำซำ ได้แต่งงานกับ โชติ จูตระกูล มีลูกชาย 2 คนคือ อภิรักษ์ และ “อภิชาติ จูตระกูล”
ชูเชิด จักกะพาก ลูกสาวคนหนึ่งของ ชู จูตระกูล แต่งงานกับ ดร.ประภาส จักกะพาก มีลูกชายคือ “ปิ่น จักกะพาก” ส่วน ชดช้อย แต่งงานกับ อำนวย ทวีสิน มีลูกชายคือ “เศรษฐา ทวีสิน”
ส่วน “วันจักร์ บุรณศิริ” คือลูกชายของแช่มชื่น และ ประมุท บุรณศิริ กรรมการผู้จัดการ บจก.ฝาจีบ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช
ดังนั้น ปิ่น, อภิชาติ, เศรษฐา และ วันจักร์ จึงเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาก โดยเฉพาะอภิชาติ ซึ่งเคยร่วมงานกับปิ่นที่เอกธนกิจนั้น ยังชื่นชมปิ่นและเห็นใจชีวิตของปิ่นอยู่มาก เขาย้ำกับเสมอว่า “ปิ่นโชคไม่ดีจริงๆ”
กลุ่มนี้ยังได้ไปเกี่ยวดองกับตระกูล “วีระเมธีกุล” ของกลุ่มเอ็มไทยกรุ๊ป ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคารทหารไทย และผู้มีแลนด์แบงก์มหาศาลรายหนึ่งของเมืองไทยอีกด้วย เพราะ นาถฤดี ลูกสาวของบรรยงค์ไปแต่งงานกับ วีระชัย ลูกชายของ สุชัย วีระเมธีกุล ด้วย ปัจจุบัน วีระชัย คือผู้รับผิดชอบโครงการออฟฟิศออลซีซั่นส์ บนถนนวิทยุ
“เศรษฐา ทวีสิน” นั้นก็ไปแต่งงานกับ แพทย์หญิงพักตร์พิไล ซึ่งเป็นพี่ภรรยาของ “ทศพงศ์ จารุทวี” แห่งกลุ่มแนเชอรัลพาร์ค นักพัฒนาที่ดินรายใหญ่อีกรายหนึ่ง เศรษฐากับทศพงศ์ก็เลยกลายเป็นคู่เขยกันในปัจจุบัน
ส่วน “อภิชาติ จูตระกูล” ก็ไปแต่งงานกับ “ชฎาทิพ จูตระกูล” สกุลเดิม “จารุวัสตร์” ตำแหน่งปัจจุบันคือ กรรมการผู้จัดการ บจก.บางกอกอินเตอร์คอนติเนนตอลโฮเต็ล, กรรมการผู้จัดการ บจก.สยามดิสคัฟเวอรี่ เซ็นเตอร์, ผู้บริหารสูงสุด บจก.สยามพารากอน ดีเวลลอปเมนท์ และ กรรมการ “บจก.ไอคอนสยาม”
ปี พ.ศ.2527 กลุ่มทุนนี้จดทะเบียนก่อตั้งเป็นบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ในนาม บจก.แสนสราญ โฮลดิ้ง ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 1,000,000 บาท โดยมีผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทคือ กลุ่มจูตระกูล และมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ปี พ.ศ.2531 บจก.แสนสำราญ ได้เริ่มเข้าสู่ธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการแรก คือ โครงการบ้านไข่มุก ซึ่งเป็นอาคารชุดริมหาดหัวหิน มีมูลค่าต้นทุนโครงการประมาณ 250 ล้านบาท และประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำให้บริษัทได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้สึกของลูกค้าในด้านของการพัฒนาโครงการคุณภาพในตลาดระดับสูง
ปี พ.ศ.2536 บจก.แสนสำราญ โฮลดิ้ง เปิดตัวโครงการอาคารพักอาศัยระดับแฟลกชิป “บ้านแสนสิริ” ใน ซ.มหาดเล็กหลวง 2 ถ.ราชดำริ โดยมีมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 615 ล้านบาท
ปี พ.ศ.2537 ผู้ถือหุ้นของกลุ่มล่ำซำได้เข้ามาถือหุ้นจำนวนร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียนของ บจก.แสนสำราญ โฮลดิ้ง และได้ทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัท แสนสิริ จำกัด”
ปี พ.ศ.2538 จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ในนาม “บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)” เมื่อวันที่ 22 พ.ย. และเพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้นอีก 100 ล้านบาท รวมเป็นทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 645.5 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 10 ล้านหุ้นเพื่อทำการเสนอขายประชาชน
และ ปี พ.ศ.2539 หุ้นสามัญของ บมจ.แสนสิริ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเริ่มทำการซื้อขายได้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. เป็นต้นมา พร้อมทั้งจัดตั้งบริษัทในเครือ คือ บจก.พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้ให้บริการด้านบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์