“พิธา” โพสต์คลิปสื่อสารถึง “ส.ส.-ส.ว.” ขอเสียงหนุนเป็นนายกฯ ตั้งรัฐบาล

“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ขอโอกาสให้ประเทศไทย เดินหน้าตามครรลองประชาธิปไตย-คืนความปกติสู่การเมือง พร้อมปลุกประชาชน ภารกิจยังไม่สำเร็จ หากไม่มี รบ. เสียงข้างมากนำพาประเทศไปข้างหน้า

วันที่ 11 ก.ค.2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก พร้อมแนบคลิปวิดีโอ โดยระบุว่า “จากพิธาถึงทุกคน ก่อนวันโหวตนายกรัฐมนตรี 13 ก.ค.นี้ ให้โอกาสประเทศไทยได้มีรัฐบาลเสียงข้างมากตามเจตจำนงของประชาชน เดินหน้าตามครรลองประชาธิปไตย คืนความปกติสู่การเมือง”

สำหรับเนื้อหาในคลิป ระบุว่า 14 พ.ค.2566 เป็นวันที่เจตจำนงของคนไทย แสดงออกอย่างชัดเจนผ่านบัตรเลือกตั้งเลือกพรรคก้าวไกลมากถึง 14,438,851 เสียง ส่งให้เราเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร และมีผู้แทนราษฎร 152 คน นี่คือเสียงที่ดังพร้อมกันทั้งประเทศต้องการประเทสไทยไม่เหมือนเดิม

ผมและพรรคก้าวไกลได้น้อมรับมติจากประชาชน เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล เราได้รวบรวมพรรคการเมือง 8 พรรค หรือ 72 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง

ในการเมืองปกติ พวกเรารัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคก้าวไกล คงได้เข้าไปบริหารประเทศแก้ไขปัญหาของประชาชนได้แล้ว แต่วันนี้เกือบ 2 เดือนหลังการเลือกตั้ง การโหวตนายกฯเพิ่งจะมาถึง และเายังต้องรอการตัดสินใจของส.ว.ว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนหรือไม่

วันนี้ชัดเจนว่าประเทศไทยอยู่ในการเมืองที่ไม่ปกติ อำนาจที่เป็นตัวแทนของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง ถูกล้มล้างครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วการรัฐประหาร นิติสงครามและการยุบพรรค ความไม่ปกตินี้เกิดจากรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งในวันนี้ยังคงอยู่กับเราอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

แต่นี่คือโอกาสของประเทศไทยที่พวกเราจะคืนความปกติกลับสู่การเมืองไทยอีกครั้ง ให้โอกาสประเทสไทยได้กลับมามีรัฐบาลที่ชอบธรรม เดินหน้าซ่อมแซมแก้ไขประเทศไทยตามที่ประชาชาคาดหวัง ให้โอกาสประเทศกลับสู่ครรลองการเมืองของรัฐสภาที่ประชาชนเชื่อมั่นและฝากความหวังไว้ได้ ให้โอกาสประเทศไทยเดินหน้าสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ค่าแรงที่เป็นธรรม สวัสดิการถ้วนหน้าครบวงจร เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างก้าวหน้าและเป็นธรรม มีนวัตกรรมของตัวเอง ลดเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมที่เห็นคนเท่ากันโดยมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่กดปราบลิดรอนสิทธิประชาชน

การโหวตเอกนายกฯที่จะมีวันที่ 13 ก.ค. ไม่ใช่การเลือกพิธา ไม่ใช่การเลือกพรรคก้าวไกล แต่คือการเลือกเพื่อยืนยันว่าประเทศไทยต้อวเดินหน้าตามระบอบประชาธิปไตยแบบปกติ เช่นเดียวกับประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก คือการเลือกเพื่อยืนยันว่าแม้เราจะอยู่กับรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการเมืองที่ไม่ปกติ แต่สมาชิกรัฐสภาทุกคนสามารถใช้เสียงร่วมกันของตัวเอง สานต่อเจตนารมณ์ที่ประชาชนแสดงออกผ่านการเลืกตั้งให้ลุล่วง จัดตั้งรัฐบาลที่เป็นตัวแทนเสียงข้างมากให้สำเร็จ

ภารกิจนี้คือภารกิจร่วมกันของเราทุกคนในฐานะสมาชิกรัฐสภา ผู้ถืออำนาจแทนประชาชนทั้งประเทศ

ในโอกาสนี้ ผมขอสื่อสารไปยังส.ส.และส.ว.ทุกท่าน อาจจะไม่ชอบแนวทางการเมืองของพวกเราในระบบการเมืองปกติ แต่พวกท่านตรวจสอบผมได้ โจมตีผมได้ โหวตผมออกจากตำแหน่งก็ยังทำได้ แต่การโหวตให้รัฐบาลเสียงข้างมากคือการให้โอกาสประเทศไทยเดินหน้าในแบบที่ควรจะเป็น

ในโอกาสนี้ ผมขอสื่อสารไปถึงประชาชน เราผ่านวันเบือกตั้งมาแล้วแต่ภารกิจยังไม่สำเร็จ การเปลี่ยนแปลงประเทศจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีรัฐบาลเสียงข้างมากที่จะนำพาประเทศไปสู่ข้างหน้า

“ผมพร้อมแล้วครับ ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน ไม่ว่าท่านจะเลือกพรรคไหน มีความเห็นทางการเมืองอย่างไร ปรารถนาจะเห็นสังคมแบบไหน ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่บริหารประเทศที่โอบรับความฝันอันหลากหลายของทุกคนได้ หากนี่คือสิ่งที่ท่านอยากเห็น ให้โอกาสประเทศไทยได้เดินไปข้างหน้า โดยการบริหารของพรรคร่วม 8 พรรคที่นำโดยนายกฯที่ชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”