“พิธา” มั่นใจ เลือกตั้ง ประธานสภาฯ ไม่พลิกโผ เป็นไปตามมติ8พรรคร่วมรัฐบาล เสนอ “วันนอร์” นั่งเก้าอี้ประธานสภาฯ พร้อมย้ำ การโหวตเลือกนายกฯ จะเป็นไปตามความต้องการของฝ่ายประชาธิปไตย มั่นใจ เส้นทางเดินสู่เก้าอี้นายกฯคนที่30 ของตนเอง ยังสดใส
วันที่ 4 ก.ค.2566 ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมสภาฯ เพื่อเลือกประธานสภาฯ และ รองประธานสภาฯ จะมีอะไรพลิกโผหรือไม่ว่า ไม่มี น่าจะราบรื่นไปได้ด้วยดี พรรคก้าวไกลจะพูดกับ ส.ส.พรรคก้าวไกลให้ราบรื่น
เมื่อถามว่า ได้ทำความเข้าใจกับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ที่เดิมถูกวางตัวให้เป็นประธาน แต่มีกระแสข่าวได้เป็นรองประธานสภาฯ นายพิธา บอกว่า ได้ทำความเข้าใจมาตลอด คุยกันทุกวัน นายปดิพัทธ์ อยู่ร่วมในการตัดสินใจด้วย และเป็นคนที่มีสปิริตแรง เป็นตามที่เคยสัมภาษณ์เป็นตามหน้าที่ ไม่ใช่หน้าตา
ถามว่าพรรค รวมไทยสร้างชาติ แสดงจุดยืนประธานสภาฯ ยังยึดมั่นการแก้มาตรา 112 พรรคก้าวไกลจะดำเนินการอย่างไร หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตอบว่า ตนไม่เห็นรายละเอียดเห็นแต่พาดหัวข่าวของ นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครทสช. โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ มีประสบการณ์และความเหมาะสม
ซักว่าพรรคเพื่อไทย หนุนนายพิธา ให้เป็นนายกฯ เป็นทิศทางที่สวยงามหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่าการรักษามิตรภาพเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า และทำให้เห็นความหนักแน่นของพรรคก้าวไกล ที่เรามองว่าหลักการสำคัญกว่าบุคคล เมื่อคุยกับนายมูหะมัดนอร์ ท่านรับหลักการทุกอย่าง ทั้งการบริหารงานสภาฯให้มีความโปร่งใส รวมถึงกฎหมายสำคัญ 4 ข้อที่ได้แถลงร่วมกันตนจึงมองว่าหลักการสำคัญกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่าการเสนอชื่อนายมูหะมัดนอร์ จะทำให้กระทบเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า เสียงตอบรับจากช่องทางต่างๆเป็นเสียงตอบรับที่ดี และ ตนมีโอกาสได้ทำงานนายมูหะมัดนอร์ มาทำให้สภาฯก้าวหน้าได้
ถามว่า นายมูหะมัดนอร์ เป็นร่างทรงของพรรคเพื่อไทยการได้ตำแหน่งครั้งนี้ ถือว่าถูดปาดหน้าหรือไม่ เพราะนายมูหะมัดนอร์ เสมือนคนเพื่อไทย นายพิธา กล่าวว่า เป็นเพียงเสมือนแต่นายมูหะมัดนอร์ เป็นผู้ใหญ่มีความคิดเป็นของตัวเอง พิสูจน์ตัวเองตั้งแต่ปี 2522 การที่ได้ทำงานใกล้ชิดมา เชื่อมั่นว่าเป็นตัวของตัวเอง สภาฯก้าวหน้าได้ ประชาชนไม่ผิดหวัง
เมื่อถามว่ากฎหมายที่จะผลักดันมีเรื่องนิรโทษกรรมด้วย จะไม่ขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ได้แถลงร่วมกันแล้วตั้งแต่เมื่อวานก็น่าจะจบไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ถามว่าประด็น มาตรา112 ที่เป็นนโยบายของพรรคก้าวไกลจะถอยมาก่อนหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ก่อนเลือกตั้งอย่างไร หลังเลือกตั้งก็เป็นแบบนั้น
ซักว่าขณะนี้พรรคก้าวไกลสามารถรวบรวมเสียงส.ว.ได้จำนวนเท่าไหร่ หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวว่า ขอให้รอดูเวลาใกล้ๆ แต่มากขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ และคิดว่าการส่งสัญญาณว่า ใครมีภาวะผู้นำที่ดีรุกได้ถอยเป็น และ รู้ว่าหลักการการเสนอประธานสภาฯ คือพรรคอับดับ1 แต่ขณะเดียวกันการรักษาเอกภาพเพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่าเป็นสิ่งสำคัญแสดงให้เห็นว่า ผู้นำคนนี้มีความเข้าใจว่า เมื่อเวลารุกก็ต้องรุกให้สุด เมื่อเวลาถอยถ้าไม่เสียหลักการและได้ในสิ่งที่เราต้องการเห็นความก้าวหน้าของสภาฯ และเจตจำนงประชาชนเป็นที่ตั้ง ก็น่าจะเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างให้ ส.ว.ได้เห็น และคำว่ารุกได้ถอยเป็นขึ้นอยู่บริบท และคงต้องดูเป็นกรณีๆไป ซึ่งคนเป็นผู้นำต้องตัดสินใจเป็นโดยประกอบไปบนข้อมูลและบริบทในสถานการณ์นั้น หากคุณจะก้าวกระโดดให้ไกลต้องถอยนิดหน่อย ถ้าคุณไม่ถอยก็ยืนอยู่กับที่ หรือกระโดดไม่ไกล ดังนั้นขึ้นอยู่สถานการณ์ แต่แน่นอนต้องไม่ขัดหลักการ ไม่ขัดกับสิ่งที่เสนอไว้ประชาชน และไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง
ถามว่ามองข้ามช็อตไปถึงวันเลือกนายกฯหรือยัง นายพิธา กล่าวว่า เวลามองต้องมองไกล แต่เวลาปฏิบัติต้องมองวันต่อวัน วิธีทำงานเป็นเช่นนั้น เมื่อถามว่าความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทย ได้เคลียร์ใจกันบ้างหรือไม่ หัวหน้าพรรคก้าวไกล บอกว่า ได้คุยกันมาตลอด แต่การทำงานร่วมกันก็มีทั้งที่เห็นด้วยและถกกันมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้นเคยมาตลอด 4 ปี มาตลอดในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้าน และต่อข้อถามว่าจนถึงขณะนี้การเป็นนายกฯคนที่ 30 ยังสดใสหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า “สดใส และมั่นใจครับ”