“พิธา” ส่อรอด หลัง “ฐปนีย์” งัดคลิปประชุมผู้ถือหุ้นITV โชว์กลางรายการสามมิติ

“พิธา” ส่อรอด” หลัง “ฐาปนีย์” นำคลิปประชุมผู้ถือหุ้นITV ออกรายการ ข่าวสามมิติ ชี้ชัด ไม่ตรงกับเอกสารที่ “เรืองไกร” เอาไปร้อง กกต. “สมชัย” โพสต์ คดีส่อพลิกแล้ว ขณะ “วิโรจน์” เตือน “นิกม์” ระวังคุก

กลายเป็นเรื่องโอละพ่อ กรณี การ “ถือหุ้นสื่อ” ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หลัง น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีชัย ผู้สื่อข่าวสามมิติ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง3 ได้ออกมาเปิดเผยคลิปการประชุมผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2566 ยืนยันว่า ไอทีวี ไม่ได้ดำเนินกิจการด้านสื่อแล้ว โดยเป็นคลิปวิดีโอ “การประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี” ซึ่งได้รับข้อมูลมาจาก หนึ่งในผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่เข้าร่วมประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้น เพื่อให้ตรวจสอบว่า บันทึกการประชุมที่มีการเผยแพร่เป็นเอกสาร ที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เอาไปเป็นหลักฐานย่นร้อง กกต. ให้เอาผิดนายพิธา ไม่ตรงกับการประชุมที่มีการถ่ายทอดผ่านอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีการบันทึกเป็นคลิปวีดีโอไว้ โดยเฉพาะช่วงคำถามว่าไอทีวี ยังดำเนินกิจการสื่อหรือไม่ ทำให้ ข้อกล่าวหา การถือหุ้นสื่อของ นายพิธา ส่อเค้าตกลงไป และ ยังมีโอกาสได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลได้ล่าสุด วันที่ 12 มิ.ย.2566 ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ให้สัมภาษณ์ ว่า หลังจากที่ข่าวสามมิติ เปิดเรื่องนี้ออกไป ปรากฏว่า มีโทรศัพท์เข้ามาสอบถามตนจำนวนมาก ทั้งนี้ยืนยันว่า ข่าวทั้งหมดนั้น ไม่ได้เกิดจากความเอนเอียง หรือเข้าข้างฝ่ายไหนทั้งสิ้น แต่เกิดจากการตั้งข้อสังเกต การสืบค้นข้อมูล และอยากจะหาความจริงของตัวเองตามสัญชาตญาณของผู้สื่อข่าวคนหนึ่งทั้งหมด

“หลังจากที่คุณพิธาได้ออกมาโพสต์ว่า มีความพยายามที่จะปลุกชีพไอทีวี แยมก็เริ่มคิดที่จะทำเรื่องนี้ทันที เพราะแยมเองเป็นนักข่าวไอทีวีเก่า และติดตามความเคลื่อนไหวเรื่องนี้มาตลอด แต่ทำไม ไม่ได้รู้เรื่องนี้เลย โดยเริ่มเจาะข่าวนี้ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน ได้คุยกับพี่จอย หรือ จาตุรงค์ สุขเอียด บรรณาธิการข่าวสามมิติ และเริ่มเจาะข้อมูลเรื่องนี้ หาข้อมูลสืบค้นเรื่องหุ้นจากอินเตอร์เน็ต เข้าไปดูที่ตึกเอ็มไทย ทาวเวอร์ ที่ตั้งของไอทีวี ตอนนั้นจึงได้รู้ว่า ชั้น 22 เป็นที่ตั้งของ อินทัช ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไอทีวีด้วย” ฐปณีย์กล่าว และ ว่า

สำหรับคลิปที่ได้มานั้น คลิปเต็มๆ มี 3 นาที ตนเอาไปลงในช่องข่าว เดอะ รีพอร์ตเตอร์ เต็มๆ ทั้ง 3 นาทีเลย ไม่มีการตัดออกใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนที่เอามาออกในข่าวสามมิตินั้น ตัดมาประมาณ 1 นาที ซึ่งยืนยันว่า ไม่มีการตกแต่งหรือตัดต่อเพื่อให้ออกมาให้เป็นคุณแก่ใคร แต่เป็นส่วนหนึ่งจากใน 3 นาที ที่เป็นคลิปเต็มๆ จริงๆ

“ข่าวเป็นอย่างไรก็เป็นแบบนั้น แยมไม่เคยติดต่อสัมภาษณ์แม้กระทั่งคุณพิธา หรือใครๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เกิดจากการสืบค้นข้อมูลจากการตั้งคำถาม จากข้อสังเกต และข้อมูลที่มีอยู่เท่านั้นเอง” ฐปณีย์กล่าว

โดยก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.66 ในรายการข่าวสามมิติ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง3 น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ได้รายงานข่าวและเปิดคลิปวีดีโอบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่มีการร้องเรียนให้ตรวจสอบว่า ไม่ตรงกับเอกสารบันทึกการประชุมขณะที่นายกิตติ สิงหาปัด พิธีกรรายการข่าว 3 มิติ ได้โพสต์เฟซบุ๊กเป็นภาพเอกสารบันทึกการประชุม เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2566 ระบุว่า นายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ผู้ถือหุ้น สอบถามว่า “ไอทีวี” มีการดำเนินการเกี่ยวกับสื่ออยู่หรือไม่ ประธานในที่ประชุม ตอบว่า “ปัจจุบันบริษัทยังมีการดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ”

แต่ในคลิปการประชุมที่เปิดเผยในรายการเมื่อคืนนี้ นายภาณุวัฒน์ หนึ่งในผู้ถือหุ้น ถามว่า “มีการดำเนินการเกี่ยวกับสื่อหรือทีวีไหมครับ” ขณะที่นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานที่ประชุม ตอบว่า “ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อน”

ขณะที่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า “อ้าว คดีพลิก ข่าวสามมิติ เปิดเทปประชุมผู้ถือหุ้น ITV หนังคนละม้วนกับ รายงานการประชุม หากรายงานการประชุมเป็นเท็จ คนลงนามในรายงานการประชุม งานเข้าแน่นอน”

ด้านนายรังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ของบริษัท ไอทีวี จะต้องออกมาชี้แจงกับเรื่องนี้ เพราะหากการแก้ไขข้อมูลในรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ทำให้เอกสารเป็นเท็จ ซึ่งอาจจะส่งผลให้นายพิธาไม่สามารถลงสมัคร ส.ส.ได้ ก็มีอัตราโทษกับผู้กระทำได้

ส่วนกรณีที่สำนักงาน กกต.เตรียมจะดำเนินคดีกับ นายพิธา ตามมาตรา 151 ข้อหา รู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ลงรับสมัครรับเลือกตั้งก็ไม่ได้กังวลอะไร ทางนายพิธา ก็พร้อมพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการของกฎหมาย และหวังว่ากรณีที่ปรากฏเมื่อคืนนี้ฝ่ายต่าง ๆ ที่คิดว่าจะใช้กรณีนี้ในการทำร้ายกันทางการเมืองควรจะพิจารณาได้แล้วว่าควรเลิก อย่าทำลายกระบวนการยุติธรรม หรือกระบวนการที่ประชาชนไปใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งกันมา อย่าทำให้ประเทศไทยแย่ไปกว่านี้

ส่วนอดีต นายนิกม์ แสงศิรินาวิน อดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ที่ปัจจุบันลาออกไปอยู่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) จะเกี่ยวข้องในเรื่องนี้หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ยังไม่อยากกล่าวโทษใคร และไม่แน่ใจในเจตนาของ ส.ส.คนดังกล่าวว่าทำไมยังเห็นว่าการถือหุ้นสื่อของนายพิธา มีความผิดทั้งที่มีคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมชัดเจน

โดยวันเดียวกันนี้ (12 มิ.ย.) นายนิกม์ แสงศิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส.กทม พรรคภูมิใจไทย (ภท.) สัมภาษณ์สดผ่านทางรายการ “กรรมกรข่าวคุยนอกจอ” ที่ดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ยืนยันว่าเรื่องการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี สิ่งที่ตนได้ยินไม่ตรงกับ ในคลิปที่ถูกเปิดในรายการ ข่าว 3 มิติ โดยยืนยันว่า สิ่งที่บันทึกในรายงานถูกต้อง ขณะประชุมตนได้ยินพูดว่า “ปัจจุบันยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท” และเชื่อว่าไอทีวีมีหลักฐานฉบับเต็มเก็บไว้ ดังนั้นแนะนำ นายพิธา ถ้าถือหุ้นสื่ออยู่ก็ยอมรับออกมาเถอะ

ในจังหวะนั้นเอง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เข้าร่วมรายการด้วย กล่าวเตือนเป็นว่า “นิกม์ นิกม์ นิกม์ระวังนะ เป็นห่วงนะ ดูแลชีวิตดีๆ” เพราะสิ่งที่พูดวันนี้ถูกบันทึกไว้หมดแล้ว พร้อมถามต่อด้วยว่า “นิกม์ทำของนิกม์เอง หรือมีคนบอกให้นิกม์ทำ” เพราะตนเป็นห่วงความปลอดภัยจากใจจริง เชื่อว่าเมื่อถึงเวลา “คนนั้น” เขาทิ้งนิกม์แน่นอน เตือนถึงเวลาที่โดนคดี แม้แต่เงินซื้อโอเลี้ยงกับข้าวผัด เขาคนนั้นยังไม่ซื้อไปให้กินเลย “พี่บอกนิกม์ได้แค่นี้”

ภายหลังจากที่นายวิโรจน์ร่ายยาวข้อกฎหมาย นายนิกม์ถึงกับบอกว่า “ผมว่าผมคงดีเบท พูดอะไรกับคุณไม่ไหวหรอก” พร้อมระบุว่าอะไรที่เป็นข้อมูลความลับต้องให้ผู้มีอำนาจไปคัดลอกออกมา ตนเองให้ข้อเท็จจริงได้เท่านี้ ยืนยันเป็นคนมีอุดมการณ์พอ ไม่มีใครมาใช้ได้

นายชวลิต เลาหอุดมพันธ์ อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความกรณีการทำเอกสารบันทึกการประชุมเป็นเท็จ มีโทษตามกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. หากเป็นการกระทำเพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือสิทธิสมัครรับเลือกตั้งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี ปรับ 100,000-200,000 บาท ส่วนการแจ้งหรือให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 7-10 ปี และปรับตั้งแต่ 140,000-200,000 บาท