ผู้อาวุโส เตือน พลังคนหนุ่มสาว หนุน’ก้าวไกล’ แต่ต้องไม่ลืม’ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’

ข้อสังเกตวันนี้ (9 มิย.66) ความในใจของ “ไอ้กระผม” ผมไม่พึงใจเลยครับ ที่เห็นการหักล้างกันด้วยสำนวนโวหาร ทั้งในสื่อโทรทัศน์ สื่อหนังสือพิมพ์ และ แม้แต่สื่อสังคม ต่อผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ฝ่ายหนึ่งเชียร์พรรคที่กำลังพยายามจัดตั้งรัฐบาล

อีกฝ่ายเชียร์รัฐบาลรักษาการณ์ ทำให้เกิดการโต้เถียง อันจะนำไปสูความสุ่มเสี่ยง ที่จะเกิดความแตกแยกกันขนานใหญ่ จนไม่อาจร่วมมือกันทำงาน รักษาความเป็นชาติเอาไว้ได้

“เหมือนไม่ใช่คนไทยพวกเดียวกัน” โดยเฉพาะในสื่อสังคมนั้น โต้เถียงกันรุนแรง จนถึงขั้นหยาบคาย ลำเลิกอีกฝ่ายหนึ่งว่าชั่วร้าย ดีที่ยัง ไม่มีการท้าทาย ถึงขั้นท้าดวลกันด้วยอาวุธ !!

ผมเอง ความจริงชอบเขียนเรื่องราว ระหว่างประเทศ ตามที่ถนัด แต่ในที่สุด ก็จะต้องเขียนถึงบ้านเมืองของเราอยู่ดี ถือว่าเป็นภาระหน้าที่ ต่อชาติที่ติดตัวไปจนตาย ฐานที่ทำงาน “สื่อมวลชน” เลี้ยงชีพในสังคมไทย มาจนเกษียณ

ประเทศไทยที่ผมอาศัยอยู่อย่างมีความสุขตามอัตภาพนั้น ให้อะไรแก่ผมมากมายนัก จนผมไม่สามารถตอบแทนบุญคุณ ของชาติได้หมด ที่พอจะตอบแทนได้ ก็ด้วยการเขียน เพื่อก่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีขึ้นในชาติเท่านั้น อะไรผิดก็ว่าตามผิด อะไรกูกก็ว่าตามถูก แน่นอน”อคติ”นั้น จะต้องเกิดขึ้นบ้าง แต่หากสำนึกรู้ ก็พยายามแก้ไข ให้ตั้งตรง ไม่ลำเอียง

ใครจะอ่านที่ผมเขียน หรือ ไม่อ่าน ผมไม่สนใจครับ ผมถือว่าทำหน้าที่แล้ว ก็ต้องขอบคุณ “เฟซบุ๊ก” อย่างยิ่งครับ ที่เปิดโอกาสให้ผม ได้เขียนหนังสือ อย่างอิสระ !

บอกตรงๆ ครับ แปดเก้าปีที่ผ่านมานี้ หลังจากเกิดความวุ่นวายในประเทศ ผมพึงใจในรัฐบาล ที่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยเอาไว้ได้ แม้จะเป็นรัฐบาลที่มาจาก “รัฐประหาร” ถูกตราหน้าว่าเป็น “เผด็จการทหาร” ถ้าไม่มีการยึดอำนาจวันนั้น ผมว่าสงครามกลางเมือง เต็มรูปแบบเกิดขึ้นแน่ ผมจะไม่โทษละครับว่า ใครคือต้นเหตุตัวจริง แต่ในที่กลุ่มทหารที่ยึดอำนาจ ก็พยายามคืนอำนาจนั้นให้พลเรือน ได้กำหนดให้มีการพัฒนาประชาธิปไตย อย่างเป็นขั้นตอน จนในที่สุดถูกวิจารณ์ว่า “สืบทอดอำนาจเผด็จการ”

ผมเชื่อและศรัทธาว่า ประชาธิปไตยที่มี ชาติ ศาสน์และกษัตริย์ นั้นคือแกนแห่งสามัคคีธรรมในชาติ สามอย่างนี้ยึดโยงเข้าด้วยกัน ทำให้สถาบันชาติไทย ยืนอยู่ได้ หากต่อไป คนรุ่นใหม่ เอาแต่ชาติ ไม่เอาศาสน์ ไม่เอากษัตริย์ ผมจะไปว่าอะไรได้ครับ เพราะนั่น อาจเป็นเพราะว่า พวกเขาได้ที่ยึดเหนี่ยวใหม่ เอาไว้ได้แล้ว ก็แล้วแต่จะว่ากันในอนาคต!

ขอเปิดใจนะครับว่า ในฐานะที่เป็นนักอนุรักษ์นิยม ผมก็มีสิทธิ์ อยากเห็นประชาธิปไตย ที่ดีกว่า ที่เป็นอยู่ ผมจึงดีใจมาก ที่คนหนุ่มสาวสนใจออกมาเลือกตั้งกันมากๆ ในคราวที่ผ่านมา หลังเลือกตั้งแล้ว เห็นอะไรผิดปกติ ผมก็วิพากษ์วิจารณ์เท่าที่มีสติปัญญา อาจถูกใจ ไม่ถูกใจใคร หรือ จะถูกต่อว่าอย่างไร ผมก็รับฟังเสียงวิจารณ์ ไม่โกรธขึ้ง หรือ ตอบโต้ ด้วยอารมณ์

ขอย้ำอีกครั้งครับว่า!! ดีใจและถูมิใจครับ ที่ พลังคนหนุ่มสาว ทำให้ พรรคก้าวไกล ได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคใด ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตผม ที่รู้สึกประทับใจมาก ที่ได้เห็นการตอบสนองทางการเมือง ของคนรุ่นใหม่ ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

คนรุ่นใหม่ คืออนาคตของชาติ คือคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ พร้อมๆกับมีคุณธรรม ควบคู่ หากแม้ จะไม่มีศาสนาเลย หรือ ไม่ยึดในขนบดั้งเดิม ก็ตามที จึงให้กำลังใจ”พิธา”และพรรคก้าวไกล ได้นำการบริหารประเทศ นำความสงบสุขมาสู่สังคมส่วนรวม ด้วยความประนีประนอมและความปรองดอง แทนการ “หักพร้าด้วยเข่า”หากได้ขึ้นเป็นรัฐบาล ซึ่งถือได้ว่า เป็นความก้าวหน้าอีกระดับหนึ่ง ตามวิถีประชาธิปไตย อย่างมีนัยสำคัญ!

นั่นแหละ ประชาธิปไตย จึงพัฒณาก้าวหน้าต่อไปได้ อย่างมีระเบียบวินัย จนสามารถรอดหนีพ้น จากการฉกฉวยอำนาจ ด้วยอาวุธ ขอให้คนไทยทุกท่าน โชคดีครับ !