แห่ชำแหละปม “หมอลาออก” ฉะแก้ปัญหา “ไฟไหม้ฟาง” ต้องให้ “ยา” หลายขนาน

นพ.วิทวัส ศิริประชัย หรือ “จ่าพิชิต ขจัดพาลชน” อดีตแพทย์ รพ.เกาะลันตา ชำแหละปม “หมอลาออก” ฉะแก้ปัญหา”ไฟไหม้ฟาง” ต้องให้ “ยา” หลายขนาน

5 มิ.ย. 2566 เพจเฟซบุ๊ก “Drama-addict” ของ นพ.วิทวัส ศิริประชัย หรือ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน อดีตแพทย์ประจำ รพ.เกาะลันตา จ.กระบี่ โพสต์ข้อความดังนี้

วงการแพทย์ไทย นับแต่อดีตตั้งแต่รุ่นก่อนจ่าจะเรียนจบมา จนถึงหลังจ่าลาออกจากราชการมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังเป็น โอ่งก้นรั่ว เหมือนเดิม โอ่งก้นรั่วที่ว่านี้ หมายถึง การที่แพทย์ลาออกจากระบบราชการเยอะมาก

มีข้อมูลว่า ปีนึง แพทย์จบใหม่ ลาออกจากราชการ 50 % (จากจำนวนที่จบมา) ซึ่งมีหลายสาเหตุ เช่น เรื่องครอบครัว เรื่องสุขภาพ เรียนต่อ หรือ ไม่พอใจการบริหารจัดการ งานโหลดจัด เงินค้างจ่าย และการดูแลบุคลากรของรัฐ ซึ่งอันนี้เป็นสาเหตุหลักที่แพทย์ลาออกจากระบบซะมาก

รุ่นก่อนจ่าจะเรียนจบ ช่วงนั้นก็มีปัญหาหมอลาออกจากระบบเยอะ ตอนนั้นกำลังการผลิตแพทย์ปีละพันคนได้ ปรากฏว่าพอหมอลาออกเยอะ แก้ยังไงดี เพิ่มอัตราการผลิตแม่งเลย ปั๊มไปเลยสองเท่า จบปีละสองพันคน!!

แต่ก็ลาออก 50% อยู่ดี เพราะปัญหาเดิมที่ทำให้หมอลาออก ไม่ได้รับการแก้ไข คุณเร่งผลิตเข้าไปเถอะ ผลิตได้เท่าไหร่หมอก็ลาออก และต่อให้ผลิตยังไง ก็ไม่มีทางเพียงพอกับจำนวนคนไข้ที่เพิ่มขึ้น เพราะเทียบกับสิบปีก่อน ยอดผู้ป่วยที่ไปใช้บริการ รพ เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า แต่กำลังการผลิตหมอ เพิ่มขึ้นสองเท่า และลาออก 50% ทุกปีๆ

ดังนั้น รพ รัฐ จึงมีคนไข้คับคั่ง เพราะหมอไม่มีวันเพียงพอกับคนไข้

แล้วพอหมองานเยอะ ทนไม่ไหว ค้างจ่ายตกเบิกอีกต่างหากไอ้ฉิบหาย ออกมาร้องเรียนโวยวายกันในเน็ท (สมัยจ่าตอนนั้นโพสลงพันทิป เพราะเข้าเวรคนเดียวไปครึ่งปีได้ สนุกสนานมาก)

น้องๆหมอที่กล้าออกมาโวย ก็จะถูกจัดการ ถูกเรียกไปสั่งสอน อบรม ปิดปาก สั่งให้เงียบ อย่าพูด อย่าวิจารณ์ ไม่งั้นเด๋วถูกย้าย (ฮะฮ่า อันนี้กูโดนมากับตัวแล้วไอ้สั่งย้ายเนี่ย) แล้วผู้หลักผู้ใหญ่ ก็จะไปเป่าหูผู้บริหารระดับสูงๆขึ้นไปว่า โอ้ย ไม่มีปัญหาแบบที่เด็กมันพูดหรอกท่าน เด็กมันมโนไปเอง แล้วผู้บริหารระดับสูงบนหอคอยงาช้าง ที่ไม่เคยลงพื้นที่ แต่เหมือนตรัสรู้ทุกสรรพสิ่งจากการฟังผู้บริหารระดับล่างๆพูด ก็จะลงพื้นที่ไปสั่งสอนหมอๆที่โวยวายว่างานหนัก ว่าทำไมไม่รู้จักอดทน ทำไมไม่รู้จักเสียสละ จิตวิญญาณของความเป็นหมอมันหายไปไหน

แล้วก็สะบัดตูดกลับหน่วยงานไป ปล่อยให้น้องๆหมอที่ทำงานหนัก จงทำงานหนักต่อไป ทนไม่ได้ ก็ตาย หรือลาออก

ที่เขียนมาทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง ที่แพทย์ไทยทนทุกข์มานานแล้ว กับระบบบริหารจัดการ ที่ไม่เคยรับฟังเสียงของตัวเล็กตัวน้อยระดับผู้ให้บริการเลย

ขอให้พรรคร่วมรัฐบาล พรรคใดก็ตาม ที่จะมาคุมกระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาลต่อไป โปรดรับฟังเสียงของแพทย์ตัวเล็กๆ ผู้เสียสละเพื่อประชาชนจริงๆ

โปรดอย่าฟังเสียงของหอคอยงาช้าง ที่ได้แต่ชี้นิ้วสั่งให้แพทย์ตัวเล็กๆเสียสละ เพราะมิฉะนั้น คุณจะไม่มีทางรับทราบปัญหาที่แท้จริงของวงการแพทย์ไทยเลย

ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก “ชมบทแพทย์ชนบท” โพสต์ข้อความระบุว่า แพทย์ลาออก ปัญหาเรื้อรังเชิงระบบที่ สธ.ละเลยมานาน

แพทย์จบใหม่ทำงานหนักมากคือเรื่องจริง วันไหนอยู่เวรคือแทบไม่ได้นอน งานในเวลาราชการก็หนัก เพราะแพทย์จบใหม่คือแพทย์ด่านหน้าที่ต้องรับงานทั้ง ตรวจผู้ป่วยนอก ราวน์ผู้ป่วยใน ตกเย็นจนดึกต้องประจำห้องฉุกเฉิน

แพทย์ในอดีตเป็นเจนเนอเรชั่นที่ยอมรับการทำงานหนัก อดทนเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว เก็บหอมรอมริบมีบ้านหลังใหญ่และดูแลครอบครัวญาติพี่น้อง ไหวไม่ไหวก็ต้องไหว

แต่แพทย์ในปัจจุบันเป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ ต้องการชีวิต work-life balance ทำงานเต็มที่แต่มีเวลาพักหรือมีเวลาให้ชีวิตส่วนตัว มีอิสระ มีความเป็นธรรม แต่ระบบการทำงานแบ่งงานของแพทย์ยังเป็นแบบดั้งเดิม อะไรๆก็ตามน้องหมอก่อน น้องๆจึงเหลือทางเลือกไม่มาก บ้างก็อึดถึกทนต่อไป บ้างก็ขอย้ายไปโรงพยาบาลที่มีการบริหารจัดการที่ดีกว่า บ้างก็ไปเรียนต่อเฉพาะทางเพื่อหนีวงจรนี้ หรือ ไม่ก็ลาออก

ปัญหานี้แก้ได้ ต้องใช้พลัง ใช้เวลา ใช้ความมุ่งมั่นทั้งระดับนโยบายและระดับการบริหารจัดการของผู้อำนวยการโรงพยาบาล แต่เรื่องนี้ถูกละเลยมานาน วูบไหวเป็นไฟไหม้ฟาง

ใครมีข้อเสนอใดๆ เชิญแลกเปลี่ยน นี่ควรเป็นวาระแห่งกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องใช้ยาหลายขนานร่วมกันในการรักษา ต้องการการมีส่วนร่วม และต้องการผู้นำที่มุ่งมั่นมาแก้ปัญหา !