“เสียมารยาท” ส.ส.ก้าวไกล เอ่ยปากไล่ รมต.รัฐบาลปัจจุบัน “ทำไมยังไม่เก็บของ”

มีว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลบางคน เอ่ยปากไล่รัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบัน “ทำไมยังไม่เก็บของอีก” สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับความจริง คือขั้วรัฐบาลเก่าพ่ายแพ้ต่อการเลือกตั้ง คั้วฝ่ายค้านเก่าชนะการเลือกตั้ง

ดงนั้นเมื่อรวบรวมเสียงกันแล้วคั้วฝ่ายค้านเก่ามีเสียงเกินกึ่งหนึ่งคือมีเสียง 313 เสียง จาก 8 พรรคการเมือง โดยมีพรรคก้าวไกล ได้เสียงมากกว่าทุกพรรค จึงเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมในการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล และเป็นพรรคแกนนำหลัก วางตัว พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

แต่จนถึงเวลานี้แล้ว หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ยังไม่รับรองใครเป็น ส.ส.แม้แต่คนเดียว และ กกต.มีเวลา 60 วันหลังการเลือกตั้ง จะ ต้องรับรอง ส.ส.ให้ได้เกิน 95% ถึงจะเปิดประตูสภาผู้แทนราษฎรได้ เอาเป็นว่ายังมีเวลาอีกเดือนครึ่งทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง มีเรื่องร้องเรียนการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากมาย ทั้งซื้อเสียง จัดเลี้ยง สัญญาว่าจะให้ เป็นต้น บางเขตเลือกตั้ง ที่มีการร้องเรียนทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง กกต.จังหวัดอยู่ระหว่างการสอบสวน บางเขตสอบสวนเสร็จแล้ว สรุปสำนวนส่ง กกต.กลางแล้ว รอ กกต.กลางพิจารณาวินิจฉัยเป็นรายเขต

ถ้าครบ 60 วันแล้ว กกต.ยังสอบสวนข้อร้องเรียนไม่แล้วเสร็จ กกต.ก็ต้องรับรองผลการเลือกตั้งไปก่อน แล้วค่อยสอยทีหลัง แต่ถ้าสอบสวนเสร็จแล้ว กกต.ก็ต้องวินิจฉัย จะให้ใบแดง ใบส้ม ใบเหลือง ก็ขึ้นอยู่กับกับพฤติกรรมการทำผิด และพยานหลักฐาน

ถ้า กกต.ให้ใบแดงก็ต้องส่งให้ศาลพิจารณาตัดสิน ถ้าศาลเห็นด้วยกับ กกต.ก็ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ โดยเปิดรับสมัครใหม่ และตัดสิทธิ์คนเดิมที่โดนใบแดงถ้า กกต.ให้ใบส้ม ก็ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ โดยไม่ต้องเปิดรับสมัครใหม่ ใช้ผู้สมัครชุดเดิม แต่ตัดสิทธิ์ผู้สมัครที่โดนใบส้ม

ถ้า กกต.แจกใบเหลือง ก็ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่เช่นกัน และยังใช้ผู้สมัครชุดเดิม ไม่ต้องเปิดรับสมัครใหม่ คนที่โดนใบเหลืองยังมีสิทธิ์เป็นผู้สมัครเหมือนเดิม

จะเห็นว่าในช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงการเลือกตั้งที่ยังไม่แล้วเสร็จ กกต.ยังมีเวลาอีกเดือนครึ่ง ซึ่งถึงแม้ กกต.จะรับรอง ส.ส.ครบ 95% แล้ว ก็ยังมีอีกหลายขั้นตอน ประเดิมด้วยการเปิดประชุมสภา เลือกประธานสภา เวลานี้ สองพรรค เพื่อไทย ก้าวไกล ยังตกลงกันไม่ได้เลยว่าเป็นโควต้าของพรรคไหน ที่ประชุมล่าสุดของ 8 พรรคร่วมคงคุยกันเรื่องนี้แล้ว แต่ยังตกลงกันไม่ได้ ยกให้ก้าวไกลกับเพื่อไทยไปคุยกันเอง แล้วนำกลับมาแจ้งในการประชุมครั้งต่อไปเมื่อเลือกประธานสภาได้แล้วถึงจะถึงขั้นตอนของการโหวตเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการโหวตในที่ประชุมรัฐสภา คือประชุมร่วมระหว่าง สมาชิกวุฒิสภา กับ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร เมื่อรวมกันแล้วรัฐสภาจะมีสมาชิก 750 คน การโหวตรับรองนายกรัฐมนตรี ต้องใช้เสียงกึ่งหนึ่ง คือ 367 เสียงขึ้นไป

สถานการณ์เวลานี้ ขั้วที่กำลังฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาล มีเสียงอยู่แล้ว 313 เสียง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาเสียงเพิ่ม และเสียงเพิ่มน่าจะต้องหวังเสียงสนับสนุนจาก สมาชิกวุฒิสภาเป็นหลัก มีเสียงปรากฏชัดว่าบางคนจะยกมือสนับสนุนพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่มีเสียงอีกไม่น้อยแสดงตนไม่เลือก ไม่เอาพิธา และมีเสียงส่วนมาก ยังสงบนิ่งไม่แสดงตัว

แต่ปรากฏการณ์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะโหวตลงมติเรื่องอะไร สมาชิกวุฒิสภาจะโหวตไปในทิศทางเดียวกัน อาจจะมีแหกแนวไปบ้างก็แค่ 5-6 เสียงเท่านั้นเองศิริกัญญา ตันสกุล ที่ถูกวางตัวเป็นรัฐมนตรีคลัง เคยออกมาบอกว่า น่าจะได้เสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภาแล้ว 19-20 เสียง อันแสดงให้เห็นว่า ยังขาดอีก 43 เสียงเป็นอย่างน้อย

เหลือเวลาอีกเดือนครึ่ง ที่พรรคก้าวไกลจะต้องเดินสายพบสมาชิกวุฒิสภา เพื่อทำความเข้าใจ ขอเสียงสนับสนุน ซึ่งเป็นงานยาก เพราะ 4 ปีที่ผ่านมา คณะก้าวไกล เดินอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสมาชิกวุฒิสภาตลอด จะปิดสวิตซ์วุฒิสภาบ้าง เคยยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตัดมาตราที่ให้สมาชิกวุฒิสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีมาแล้ว แต่ไม่ผ่านสภา

การขอเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา จึงเป็นงานยากของก้าวไทย จะเห็นได้ว่า คณะผู้เตรียมการจัดตั้งรัฐบาล ยังมีงานยากอยู่อีกมาก และยังมีเวลาอีกยาวนาน การที่คณะก้าวไกล ออกปากขับไล่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ทำนองตั้งคำถามว่า ทำไมยังไม่เก็บของอีก จึงเป็นเรื่องการเสียมารยาทยิ่ง เพราะรัฐบาลปัจจุบันยังต้องอยู่บริหารราชการแผ่นดินไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งยังมีเวลาอีกหลายเดือน

เวลานี้คณะเตรียมการจัดตั้งรัฐบาล ยังก้าวเดินไม่พ้นขวากหนามเลย 1.เสียงสนับสนุนยังไม่พอ 2.โควต้าประธานสภาเป็นของใครยังตกลงกันไม่ได้ 3.นโยบายรัฐบาลยังไม่ยกร่างเลย 4. พรรคร่วมรัฐบาลขัดแย้งกันเอง

พลพรรคก้าวไกลใจเย็นๆ เมื่อมั่นใจว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็ให้เดินไปตามขบวนการปกติ ไม่ต้องแสดงอาการ “อยาก” จนน้ำลายไหลขนาดนั้น คณะก้าวไกลยังไม่มีฐานะเป็นรัฐบาล ฐานะความเป็น ส.ส.ก็ยังไม่เกิดเลย

ไปรับคำท้าของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ก่อนที่ไหมที่เข้าออกมาท้าดีเบตตั้งแต่ “พิธา -วิโรจน์- ไอติม”  ประเด็นอเมริกา จะเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทย จะใช้ไทยเป็นฐานด้านการทหารที่อาจจะก่อสงครามกับจีน ไม่เห็นมีใครออกมารับคำท้า สนธิ
ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ขั้นตอนตามกฎหมายมีอยู่ ปฏิบัติตามกฎหมาย วันหนึ่งถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ก้าวไกลและคณะก็จะได้เป็นรัฐบาล และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพียงแค่เดินฝ่าขวากหนามที่วางดักไว้เองให้ได้

อย่าขี้ลืม เดินเหยียบขี้ตัวเอง และด่าตีโพยตีพาย “ใครมาขี้ไว้วะ”

#นายหัวไทร