เมื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งได้เสียงมากสุด 152 เสียง ประกาศชัดว่าจะจับมือกับฝ่ายค้านเดิมจัดตั้งรัฐบาล 309 เสียง ประกอบด้วย ก้าวไกล 152 เสียง ,เพื่อไทย 141 เสียง, ประชาชาติ 9 เสียง, ไทยสร้างไทย 6 เสียง และ เสรีรวมไทย 1 เสียง
5 พรรคการเมืองเมื่อรวมเสียงกันแล้วได้แค่ 309 เสียง ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา 750 เสียง คือ 376 เสียง ดังนั้น พรรคก้าวไกลยังจะต้องหาเสียงสนับสนุนอีก 67 เสียง ตรงนี้คือประเด็นว่าพรรคก้าวไกลจะเดินเกมอย่างไร ซึ่งก็มีทางเลือกอยู่
โดยเจรจากับ พรรคภูมิใจไทย 70 เสียง ถ้าพรรคภูมิใจไทยตกลงเข้าร่วม ก็จะทำให้เป็นรัฐบาล 6 พรรค 379 เสียง ถ้าเอาแค่นี้ ถือว่าเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เพราะเกินกึ่งไปแค่ 3 เสียง จะไม่ใครเจ็บ ใครป่วย ใครเป็นไข้ไม่ได้เลย
ดังนั้น ที่ “พิธา” ประกาศปิดทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้น ไม่น่าจะจริง เพราะ พรรคก้าวไกลเองก็ยังก้าวไม่ผ่าน 376 เสียง เพื่อปิดสวิช ส.ว. เพราะมีอยู่แค่ 309 เสียงเอง ฉะนั้น เพื่อให้รัฐบาลเดินไปได้ พรรคก้าวไกลอาจจะต้องบากหน้าไปคุยกับ ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง หรือ รวมไทยสร้างชาติ 36 เสียงแต่อาจจะยากเพราะทั้ง ก้าวไกล และ เพื่อไทย ต่างประกาศไปแล้วว่า “มีเราไม่มีลุง” แต่มีความเป็นไปได้กับการเจรจากับพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง
ถ้าชาติไทยพัฒนาเข้าร่วม ยังงัย ก็ต้องเอาพรรคภูมิใจไทยมาด้วยอยู่ดี ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า พรรคภูมิใจไทย จะร่วมกับ ก้าวไกล และ เพื่อไทยได้หรือไม่ ซึ่งก็ไม่ง่าย เพราะมีอะไรหลายอย่างที่เคมีไม่ตรงกัน แต่การเมือง ก็คือ การเมือง เมื่อผลประโยชน์ลงตัวก็สามารถร่วมกันได้หมด
แต่กล่าวสำหรับประชาธิปัตย์ ไม่น่าจะร่วมงานกับ พรรคเพื่อไทยได้ เพราะมีอะไรมากมาย ที่เห็นไม่ตรงกัน จะเจรจาร่วมกัน เพื่อลงนามใน เอ็มโอยู ก็น่าจะยังยาก พรรคประชาธิปัตย์ จึงควรจะครองตนเป็นฝ่ายค้าน
ยิ่งประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้านยิ่งจะเป็นผลดี ผลดีทั้งต่อชาติบ้านเมือง และ ต่อพรรคเอง ต่อชาติบ้านเมือง เพราะประชาธิปัตย์เคยทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ดีเยี่ยมมาแล้วหลายยุคหลายสมัย ตรวจสอบรัฐบาล อภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ทำได้ดี เป็นผลดีต่อพรรค เพราะถ้าเป็นฝ่ายค้าน แล้วทำหน้าที่ได้ดี ประชาชนก็จะเห็นผลงานเห็นฝีมือ อาจจะเป็นช่องทาง ให้ฟื้นฟูพรรคกลับคืนมาได้ ดีกว่าร่วมหัวจมท้ายกับพรรคที่มีเจตนารมณ์-อุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ยิ่งจะนำมาซึ่งความเสื่อมประชาธิปัตย์ ควรจะนำบทเรียนของการเข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นข้อสรุปว่า เป็นต้นเหตุให้พรรคได้แค่ 25 เสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่ ???
พรรคประชาธิปัตย์ ควรจะมานั่งคิดหาเวลาฟื้นฟูพรรค ดีกว่ามานั่งคิดจะเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อนำนโยบายที่เป่าประกาศไว้ไปสู่การปฏิบัติ เหมือนคราวที่แล้ว สุดท้ายล้มไม่เป็นท่า วันนี้ประชาชน ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเปลี่ยน ด้วยการเลือกก้าวไกล เพื่อไทยมาจำนวนมาก จึงควรให้เจตนารมณ์ของประชาชนเป็นจริง
สมาชิกวุฒิสภา 250 เสียงก็ควรตอบรับให้ความร่วมมือ กับ เจตนารมณ์ของประชาชนอย่างไม่มีอิดออด เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยาก และ ล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะยิ่งล่าช้าก็จะยิ่งมีผลกระทบ กระทบทั้งการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่น รวมถึงการต่างประเทศ และแม้ว่า สมาชิกวุฒิสภา จะมาจากการแต่งตั้งของอดีตหัวหน้า คสช.ก็ตาม
แต่ควรใช้ดุลยพินิจพิจารณาเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง !!!
#นายหัวไทร