ศึกเลือกตั้ง ใกล้เข้ามาทุกขณะ ทุกพรรคการเมืองระดมสรรพกำลัง ทำศึกสู้เลือกตั้งเพื่อตบเท้าเข้าสภา จัดตั้งรัฐบาล ทุกทรัพยากรระดมมาไม่หยุด หลายพรรคเปิดเวทีปราศรัย ไม่มีหยุดพัก จัดเต็ม “วาทกรรม” เปิดวอร์ ใส่ร้าย บิดเบือน สร้างกระแสรายวัน รวมทั้งผลโพลต่างๆออกมา ยังชี้นำประชาชน ในช่วงโค้งสุดท้ายอีกด้วย สวนทางกับพรรคภูมิใจไทย ที่มั่นใจด้วยผลงานตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โดยไม่หวั่นไหวต่อการโจมตี และด้อยค่าต่าง ๆ
โดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขออาสาเข้ามาทำหน้าที่เป็น นายกรัฐมนตรีคนที่30 หากเสียงสนับสนุนเพียงพอ หรือ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาให้คนยากคนจน นำประเทศออกจากความขัดแย้ง
อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปในเรื่องของผลโพลต่างๆ ในช่วงการลือกตั้งปี 2566 ชื่อของ “อนุทิน” และ พรรคภูมิใจไทย แม้ผลสำรวจจะไม่ติดผลโพลในระดับต้นๆ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะการสำรวจดังกล่าววัดได้เพียงกระแสและอาจนำไปประเมินได้แค่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน แต่ไม่ใช่สูตรสำเร็จชี้ว่า ส.ส. ทั้ง 400 เขต จะเป็นเช่นนั้น เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อาทิ ตัวบุคคล ผลงาน นโยบาย ทรัพยากรทางการเลือกตั้ง ฯลฯ
ทั้งนี้หากย้อนไปการเลือกตั้งปี 2562 ผลสำสำรวจ 10 อันดับแรก ก็ไม่ปรากฏชื่อ “อนุทิน” ขณะที่คะแนนนิยม พรรคภูมิใจไทยได้ลำดับดับ10 น้อยกว่าหลายพรรคขนาดกลาง และ ขนาดเล็กหลายพรรคเสียด้วยซ้ำ
แต่ปรากฏว่าผลการเลือกตั้งออกมา พรรคภูมิใจไทย ได้ 10% มีจำนวน ส.ส.จำนวน 51 เสียง เรียกว่าหักปากกาเซียน เกือบทุกสำนักโพลมาแล้ว !
การเลือกตั้งปี 2566 ก็เช่นกัน พรรคภูมิใจไทย มั่นใจว่าอาจทำให้หลายสำนักโพลเสียหน้าได้เช่นกัน เพราะที่สำรวจว่าพรรคภูมิใจไทยจะได้ ส.ส. 10-15 ที่นั่ง ผลเลือกตั้งจริงออกมา อาจเห็นนักการเมืองหลายคนในโพลที่คะแนนมากกว่า “อนุทิน” อาจมีคะแนนน้อยกว่า “อนุทิน” และพรรคภูมิใจไทย เว้นพรรคเพื่อไทย เพียงพรรคเดียวก็เป็นได้
อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เคยกล่าวไว้ว่า ผลโพลต่างๆเราก็รับฟังไว้เพื่อปรับปรุงการทำงาน แต่สิ่งสำคัญที่เรามุ่งเน้นคือความใกล้ชิดชาวบ้านของผู้สมัคร ส.ส. พรรค การทำงาน และนโยบายที่ดีเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน
“ไม่มีโพลไหนสู้โพลของผมได้หรอก ผมเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็ทำโพลของตัวเอง เชื่อมั้ยว่าตรงเป๊ะที่สุดเลย อย่างคราวที่แล้วผมคาดว่าจะได้ ส.ส. 52 คน แต่เข้ามาได้ 51 คน อย่างในสมัยที่ตัวเองยังเด็กๆ อยู่ คิดว่าจะได้ส.ส.เข้ามา 22 คน ก็เข้ามา 22 คน ผมเชื่อตัวเอง ซึ่งขณะนี้มีตัวเลขอยู่แล้วแต่ไม่อยากนำมาเปิดเผย ”
สำหรับ “พรรคภูมิใจไทย” ใช้เรื่องผลงานหาเสียงได้อย่างเต็มปาก เต็มคำ เพราะมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ทั้งเรื่องของการปลดล็อกกัญชาออกจากความเป็นยาเสพติด เพื่อสนุนทางการแพทย์ และเศรษฐกิจ
แม้จะมีเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ แต่ก็ถือว่า เป็นเครื่องยืนยัน ตามนิยามของคำว่า “พูดแล้วทำ” แล้วหากพลิกย้อนเวลาไปดู ต้องบอกว่าพรรคภูมิใจไทย คือพรรคที่เดินหน้าให้มี พ.ร.บ. กัญชา กัญชง ควบคุมการใช้ แต่ถูกการเมืองเล่นงาน จึงค้างในสภาฯไปเสียก่อน
ยังมีความสำเร็จ ในเรื่องจัดการโควิด 19 ไปจนถึงการยกระดับระบบสาธารณสุขไทย เรื่องนี้ “อนุทิน” ทำได้ดีเยี่ยม พาไทย ผงาดขึ้นเป็นอันดับ 5 ของโลก และอันดับ 1 ในเอเชีย และทำให้ประเทศมีระบบสุขภาพแข็งแกร่งที่สุด จัดอันดับโดยสถาบัน จอห์น ฮอปกินส์
ขณะเดียวกัน องค์การอนามัยโลก ยกให้ไทย เป็นประเทศต้นแบบด้านการจัดการโควิด 19 ขณะที่อาเซียน ให้ไทยเป็นที่ตั้งของสำนักงานเลขาธิการศูนย์อาเซียน ด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ ( ASEAN Centre for Public Health Emergencies and Emerging Diseases: ACPHEED) และอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นผลงานชิ้นโบว์ ภายใต้แดงคือการแบน 3 พิษ หักดิบนายทุนหมื่นล้าน เซฟชีวิต และสุขภาพของเกษตรกร เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้บริโภค
ในด้านงานคมนาคม พรรคภูมิใจไทย ประสบความสำเร็จ ทั้งการเดินหน้าโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา – อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง และโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา ต.เกาะกลาง – ต.เกาะลันตาน้อย อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ งบประมาณ 6.69 พันล้านบาท ซึ่งเป็น 2 โครงการที่ประชาชนรอคอยมาหลายทศวรรษ แต่มาอนุมัติงบ เดินหน้ากันจริงจัง ในยุคของรัฐมนตรีคมนาคม พรรคภูมิใจไทย
ไม่นับการก่อสร้าง ยกระดับระบบราง และถนน ในประเทศไทย ให้เชื่อมต่อครอบคลุมทุกพื้นที่ ขณะที่เมืองหลวง มีการนำเข้ามาให้บริการของรถเมล์พลังงานไฟฟ้า ที่คาดว่า จะมีถึง 4,000 คัน ในปีนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายพลังงาน และลดปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ให้คนเมืองหลวง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังปกป้องผลประโยชน์ชาติ ไม่ต้องจ่ายค่าโง่คดีโฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล้านบาท รวมทั้งคัดค้านโครงการรถไฟสายสีเขียว ไม่ให้ต่อสัมปทาน 30 ปี เนื่องจากสุ่มเสี่ยงจะผิดกฎหมาย
ความสำเร็จของพรรคภูมิใจไทย สามารถคิดคำนวณออกมาเป็นตัวเลข และมีภาพปรากฏชัด กลายเป็นความมั่นใจ จนเป็นสโลแกน “พูดแล้วทำ” และต่อยอดมาเป็นนโยบายหาเสียง ที่โดดเด่นคือเรื่องของการพักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอกเบี้ย, นโยบายเงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท, ฟรี หลังคาโซลาร์เซลล์ ลดค่าใช้จ่าย 450 บาทต่อครัวเรือน ให้สิทธิ์ประชาชนซื้อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าราคาประหยัด ผ่อนเดือนละ 100 บาท 60 เดือน, กรมธรรม์ผู้สูงวัย 60 ปี 100,000 บาท , การเพิ่มค่าตอบแทน อสม.2,000 บาท, นโยบายเกษตรร่ำรวย คอนแทรกฟาร์มมิ่ง รู้ราคาก่อนขาย เสียหายมีประกัน เป็นต้น
นโยบายเหล่านี้ มีจุดเด่นคือสามารถทำได้จริง ล่าสุด พรรคภูมิใจไทย เป็นหนึ่งในพรรคการเมืองที่ กกต. ให้การรับรองแล้วว่า นโยบายมีความสามารถในการปฏิบัติ และมีที่มาของแหล่งงบประมาณชัดเจน
สำหรับการเมืองช่วงนับถอยหลังเลือกตั้ง หลายพรรคการเมือง มุ่งสร้างกระแสให้ตัวเอง สงครามน้ำลาย ระเบิดรายวัน รวมทั้งยังโหนผลโพลต่างๆ
ทั้งนี้พรรคอื่นๆอาจจะมีกระแส แต่พรรคภูมิใจไทย เชื่อว่าตัวเองมีผู้สมัคร ส.ส.ที่มีคุณภาพ ผลงานเป็นที่ประจักษ์ และ นโยบายหาเสียงทำได้จริง หวังมัดใจชาวบ้าน และมั่นใจว่า ผลเลือกตั้งออกมา
“อนุทิน ชาญวีรกูล” จะเป็นคนเหนือโพล