พท. ยันการเมืองไทยไม่เหมือนปี 62 ย้ำไม่เอากัญชาเสรี ฉะใครแจ้งเท็จ โดนฟ้องแน่

เพื่อไทย ตั้งโต๊ะแถลง ยันการเมืองไทยต้องไม่เหมือนปี 62 ยัน ไม่เอากัญชาเสรี เตือนใครแจ้งเท็จ โดนฟ้องกลับแน่ ย้ำ 3 แคนดิเดตฯ สามารถเป็นนายกฯ ได้ อัด ‘ศุภชัย ใจสมุทร’ ก่อนวิจารณ์ใครให้ดูแคนดิเดตพรรคตัวเองก่อน ปัด จับมือ ภท.ตั้งรัฐบาล บอก ต้องรอหลังเลือกตั้งจึงจะเป็นความจริง

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 5 พฤษภาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค พท. นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค พท. และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงจุดยืนการเมืองไทยต้องไม่เหมือนปี 62 ประชาชนต้องมีทางออก โดย นายประเสริฐ กล่าวว่า กรณีที่ผู้สมัครส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับแกนนำพรรค พท. รวมถึงนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท. และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยกล่าวหาว่าการปราศรัยของพรรค พท.เป็นการใส่ความ และกล่าวหาพรรคภท.นั้น ขอเรียนว่า การพูดของนายเศรษฐาบนเวทีปราศรัยเป็นเรื่องปกติในการหาเสียง การวิเคราะห์ว่าต้องเลือกพรรค พท.ทั้งคนทั้งพรรคทั้ง 2 ใบเพื่อให้ชนะแลนด์สไลด์ เพราะถ้าไปเลือกพรรคอื่น อาจทำให้ลุงอยู่ต่อ ก็เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตในการหาเสียง โดยดูจากการเมืองในปัจจุบัน เพราะพฤติกรรมของหัวหน้าพรรคบางคนในอดีต เช่น ในการเลือกตั้งปี 2562 เคยบอกว่าจะไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับโหวตให้และนำพรรคของตนเป็นนั่งร้านให้พล.อ.ประยุทธ์มา 4 ปีนายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องกัญชานั้น พรรค พท.ไม่เอากัญชาเสรี เอากัญชาเพื่อการแพทย์เท่านั้น และเราไม่เคยมีส่วนร่วมในการปลดกัญชาออกจากยาเสพติด เรารังเกียจยาเสพติด และถ้าเป็นรัฐบาลจะหยุดกัญชาเพื่อสันทนาการหรือการพี้เสรีที่รัฐบาลนี้เปิดช่องไว้ทันที สำหรับการแจ้งความดำเนินคดีถือเป็นสิทธิ์ แต่ขอยืนยันว่าสิ่งที่นายเศรษฐาพูดไม่มีเนื้อหาตอนใดที่ผิดกฎหมายเลย ไม่ใช่ความเท็จ ไม่เป็นการใส่ร้าย เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ถ้ามีการไปแจ้งความทั่วประเทศจริงตามข่าว คนจะตั้งคำถามว่าเป็นการแก้เกี้ยวหรือกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ เป็นการใช้สิทธิ์โดยสุจริตหรือไม่ ผลเสียจะเกิดกับผู้แจ้งเองและถ้าแจ้งเท็จจะโดนฟ้องกลับแน่

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ส่วนที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. พูดว่า ส.ส.ในพรรค พท.ส่ายหน้าจากการปราศรัยของนายเศรษฐานั้น ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย เป็นการดิสเครดิตนายเศรษฐาโดยไม่มีมูลความจริงเลย ในทางตรงข้าม พรรค พท.รวมทั้งผู้สมัคร ส.ส. ทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่ออยู่ข้างหลังนายเศรษฐา ยืนเคียงข้าง เชื่อมั่นในนายเศรษฐา และขอบคุณในการทำหน้าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคอย่างดียิ่ง เป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีวุฒิภาวะ มีความเป็นผู้นำสูง และมั่นใจว่าจะพาพรรค พท.ชนะแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งนี้ นายเศรษฐามีบุคลิกนอบน้อมให้เกียรติผู้อื่น และที่ผ่านมาได้หลีกเลี่ยงการโจมตีในทางลบต่อพรรคการเมืองอื่น แต่ในขณะเดียวกันมีจุดยืนที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ต่อความคิดและคำพูดของตน และการเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ กลับเป็นประโยชน์ต่อการทำงานการเมือง เพราะการบริหารประเทศต้องใช้ทักษะการบริหารจัดการทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม เพื่อนำพาประเทศออกจากหลุมดำที่ประสบอยู่

“อีกไม่กี่วันจะเลือกตั้งแล้ว พรรคเพื่อไทยจะมุ่งมั่นเดินหน้าบอกประชาชนว่าถ้าเลือกเพื่อไทยแล้วชีวิตจะดีขึ้นอย่างไร และทำไมต้องเลือกเพื่อไทยทั้ง 2 ใบให้แลนด์สไลด์เพื่อไปโหวตให้ชนะเสียง ส.ว. 250 คน และเป็นรัฐบาลผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้ เลือกพรรคเพื่อไทย ประเทศไทยเปลี่ยนทันที” นายประเสริฐ กล่าว

เมื่อถามว่า นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรค ภท. ระบุว่า นายเศรษฐาเป็นแค่นักแสดง แค่มาช็อปปิ้งเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วนายเศรษฐาอาจจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค พท. พรรคพท.จะชี้แจงอย่างไร นายประเสริฐ กล่าวว่า นายเศรษฐาเข้ามาทำงานในพรรค พท.เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และมีส่วนร่วมในการทำนโยบายของพรรค ไม่ใช่เข้ามาตอนใกล้เลือกตั้ง ฉะนั้น แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คนของเราพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งหมดด้าน นายภูมิธรรม กล่าวเสริมว่า ความจริงสิ่งที่นายศุภชัยพูดมานั้น ท่านก็เป็นแค่เป็นผู้แทนคนหนึ่งของพรรคการเมืองหนึ่ง การที่จะวิจารณ์ในลักษณะนี้จำเป็นต้องมีข้อมูลพื้นฐานที่สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่ตนเองพูดนั้นมีความเป็นจริง ไม่ใช่ตนเองนั่งคิดไปเองแล้วมาเที่ยววิจารณ์คนอื่นทำให้เสียหาย นายเศรษฐาเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของพรรค พท. และเรายืนยันมาตลอดว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คนของเรามีความพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปนี้ ปัญหาของประเทศจึงมีความต้องการการคนที่มีความสามารถในหลายด้านเข้ามาแก้ปัญหา

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า อีกทั้ง 3 คนก็ได้ตกลงกันแล้วว่าอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้นว่าเรียกร้องต้องการอย่างไร และต้องยอมรับว่าอำนาจหน้าที่นี้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ที่จะตัดสินขั้นสุดท้ายว่าในสถานการณ์เช่นนี้ และสเปกบุคลากรที่เรามีทั้งหมดใครจะเป็นธงนำได้ทั้งหมด ย้ำว่าทั้ง 3 คนมีภาวะผู้นำ มีวุฒิภาวะพอที่จะทำหน้าที่ต่างๆ ได้ทั้งหมด

“การที่บอกว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยเป็นแค่หุ่นเชิดนั้น ผมว่าต้องกลับไปย้อนดูแคนดิเดตของตนเองว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่ แล้วค่อยยมาดูว่าคนอื่นเขาเป็นอย่างไร สิ่งที่จะวิพากษ์วิจารณ์นั้นต้องเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยกว้าง มีมุมมองที่เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัด ไม่ใช่การคิดเอาเองแล้วมาวิพากษ์วิจารณ์” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า สูตรการจัดตั้งรัฐบาลของพรรค พท. จะมีพรรค ภท.ร่วมอยู่ด้วยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ถ้าเราได้ใกล้ 376 เสียง เราก็ไม่เอาพรรค ภท.มาร่วมด้วยอยู่แล้ว แต่ความเป็นจริงทางการเมือง เราต้องมาดูว่าเสียงของเราจะได้แค่ไหน ถ้าประชาชนให้ความสนับสนุนพรรค ภท.เป็นอันดับ 1 ก็เป็นเรื่องของพรรค ภท.ที่จะจัดตั้งรัฐบาล ฉะนั้น สิ่งที่เราพูดได้วันนี้คือเรามุ่งแลนด์สไลด์ และเราเสนอสิ่งต่างๆ เพื่อบอกประชาชนว่า ถ้าเราได้เป็นรัฐบาลทุกนโยบายที่เราพูดถึงเราจะดำเนินการทันทีตั้งแต่วันแรกที่เราเป็นรัฐบาล เอานโยบายทั้งหมดแถลงต่อสภาฯ

ถามต่อว่า พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ระบุว่าหากรวมเสียงของพรรคก.ก.และพรรค พท.แล้วเสียงก็จะเกิน 300 เสียง หากเป็นสูตรนี้จำเป็นต้องมีพรรค ภท.อยู่ด้วยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่อยากคิดว่าได้เท่าไหร่ แต่ฟังจากสิ่งที่ทุกคนประเมินว่าตัวเองได้เท่าไหร่ ส.ส.ในสภาฯ ก็คงจะเกิน 1,000 ฉะนั้น ต้องอยู่ที่ความเป็นจริง คำถามนี้หากถามหลังจากผลเลือกตั้งออกมาจะตอบได้ง่ายและเป็นจริงมากกว่า ไม่ใช่ถ้าหรือคิด เพราะเป็นความอยาก ความจริงอาจจะไม่ได้ก็ได้

นายชูศักดิ์ กล่าวเสริมว่า การจะร่วมรัฐบาลกับใคร เรายึดแนวมาตลอดคือนโยบายที่นำเสนอต่อพี่น้องประชาชนไปด้วยกันได้หรือไม่ ตนฟังที่นายอนุทินเคยแถลงทำนองว่าถ้าใครไม่เอาพ.ร.บ.กัญชาฯ ร่วมกันไม่ได้ หากเราไม่ต้องการกัญชาเสรี เราต้องการกัญชาทางการแพทย์เท่านั้น ฉะนั้น หากความคิดนี้ไม่ตรงกัน ก็จะเป็นเงื่อนไขที่จะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล วันนี้เราแถลงชัดเจนแล้ว.