ครบรอบ 20 ปี “ไอแบงก์” แถลงทิศทางธุรกิจ เป็นสถาบันการเงินที่ยึดหลักชะรีอะฮ์ เพื่อความยั่งยืน ตอบโจทย์ ลูกค้า ประชาชน โดยเฉพาะ พี่น้องชาวมุสลิม ให้มีชีวิตที่ยืนอยู่อย่างมั่งคั่งและ ยั่งยืน ด้วยหลัก “ซะรีอะฮ์”
วันที่ 24 เม.ย.2566 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) โดย ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กก.ผจก. พร้อมคณะผู้บริหาร แถลงข่าวประกาศ “ทิศทางธุรกิจของไอแบงก์ ปี 2566 เนื่องในวาระครบรอบ 20 ปีของธนาคาร” พร้อมเดินหน้าขยายสินเชื่อ ลดหนี้เสีย และการดำเนินงานต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 เพื่อนำไปสู่วิสัยทัศน์ การเป็นสถาบันการเงินที่ให้บริการตามหลักชะรีอะฮ์เพื่อความยั่งยืน ณ โรงแรม อัล มีรอซ รามคำแหง ซอย 5 กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2566
ดร.ทวีลาภ เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้เข้ามารับตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการไอแบงก์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ก็ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการธนาคารให้ทบทวนแผนยุทธศาสตร์ธนาคาร ซึ่งประกอบด้วยทิศทางการดำเนินงานในระยะยาว 5 ปี และระยะสั้นหรือเร่งด่วนของปี 2566 จึงได้นำเสนอแผนดังกล่าวต่อคณะกรรมการธนาคารและหน่วยงานกำกับดูแล โดยปรับวิสัยทัศน์ของธนาคารใหม่ “เป็นสถาบันการเงินที่ให้บริการตามหลักชะรีอะฮ์เพื่อความยั่งยืน” เพื่อยกระดับการบริการทางการเงินของธนาคารให้เท่าเทียมสถาบันการเงินอื่น ยึดมั่นในหลักธรรมอิสลามหรือหลักชะรีอะฮ์ ซึ่งเป็นประโยชน์กับทุกศาสนิก ตลอดจนดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และอยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยในช่วงเช้าได้มีการชี้แจงแนวทางการดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ ให้แก่ผู้บริหารสาขาทั่วประเทศได้รับทราบโดยทั่วกัน พร้อมทั้งคณะกรรมการธนาคารนำโดยประธานกรรมการ (นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข) เข้าร่วมมอบนโยบายในครั้งนี้ด้วยโดยแผนยุทธศาสตร์ด้านพันธกิจมุ่งเน้นกลยุทธ์ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด ESG คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม ตอบโจทย์ความยั่งยืน สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักซึ่งเป็นพี่น้องมุสลิมและลูกค้าทั่วไป อาทิ สินเชื่อบ้านมีหนี้ลด เป็นการช่วยเหลือลูกค้าลดภาระการผ่อนชำระหนี้ ด้วยการรวมหนี้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือหนี้บุคคลเข้ากับหนี้ที่อยู่อาศัย ทำให้ลูกค้าสามารถผ่อนชำระในอัตราย่อมเยา และระยะเวลายาวนานขึ้น เสมือนมีรายได้คืนมาบางส่วน โครงการชุมชนซื่อสัตย์ เป็นสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมระดับฐานรากให้หลุดพ้นหนี้นอกระบบ กลับมาอยู่ในระบบสถาบันการเงิน นอกจากนี้ยังมี สินเชื่อธุรกิจฮาลาลครบวงจร จะสนับสนุนผู้ประกอบการที่สนใจในตลาดธุรกิจฮาลาล แต่ยังขาดแหล่งทุน ขาดความรู้ความเข้าใจ เพื่อส่งเสริมต่อยอดให้เป็นผู้ประกอบการฮาลาลเต็มรูปแบบได้ สำหรับผู้ประกอบการที่มีธุรกิจฮาลาลอยู่แล้ว ไอแบงก์จับมือกับพันธมิตรหลายภาคส่วนในการเพิ่มศักยภาพ ยกระดับสินค้าของผู้ประกอบการ ให้สามารถส่งออกไปนานาประเทศได้ ตลอดจนช่วยพัฒนาเป็นสินค้าฮาลาลเพื่อสังคมและยั่งยืน ด้านการสนับสนุนนโยบายภาครัฐ ที่มีแนวทางการพัฒนาภาคใต้ผ่านการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ธนาคารยังคงดำเนินการขับเคลื่อนการเข้าถึงบริการทางการเงินให้ประชาชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ ให้มีแหล่งทุนในการประกอบอาชีพ นอกเหนือจากการพึ่งพิงการเกษตรและประมง ซึ่งเป็นอาชีพที่มีความผันผวนสูงและสร้างรายได้ครัวเรือนต่ำ โดยมีแผนยุทธศาสตร์ภาคใต้ที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ซึ่งอาศัยเครือข่ายที่มีอยู่ในพื้นที่โดยเฉพาะมัสยิด รวมทั้งสหกรณ์อิสลาม เป็นกลไกในการขับเคลื่อน เพื่อลดปัญหาความยากจนในพื้นที่พันธกิจของธนาคารอย่างยั่งยืนต่อไปสำหรับยุทธศาสตร์ด้านธุรกิจ ธนาคารเดินหน้าขยายสินเชื่อ SMEs ในกลุ่มธุรกิจเป้าหมายของธนาคาร ตลอดจนการทำ Synergy กับหน่วยงานภาครัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ส่วนสินเชื่อ Corporate ซึ่งเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวแล้ว ธนาคารก็ยังคงให้การสนับสนุนทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ สำหรับสินเชื่อรายย่อยซึ่งเป็นกลุ่มที่ธนาคารมุ่งเน้นและเติบโตได้ดีอยู่แล้ว จะประสานความร่วมมือกับบริษัทลูก หรือ บมจ.อะมานะห์ ลิสซิ่ง ในการแนะนำธุรกิจระหว่างกัน เพื่อเป็นการสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPF) ด้วยการแก้ไขหนี้อย่างเบ็ดเสร็จส่วนยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาองค์กร ธนาคารจะใช้ระบบเทคโนโลยีและข้อมูลในการปฏิบัติงาน รวมทั้งจะเพิ่มช่องทางการบริการผ่านโมบายแบงก์กิ้ง โดยเป็นการพัฒนาผ่านความร่วมมือ (Synergy) กับหน่วยงานภาครัฐซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมให้บริการในไตรมาส 3 นี้แน่นอนสำหรับทิศทางองค์กรในอนาคต ธนาคารตั้งเป้าสร้างกำไรอย่างยั่งยืนและเงินกองทุนเติบโตอย่างเข้มแข็ง โดยจากการศึกษาภาพรวมของตลาดการเงินอิสลามทั่วโลก ในรายงานการพัฒนาของระบบการเงินอิสลามฉบับปี 2565 ของ Refinitiv ผู้ให้บริการข้อมูลอัจฉริยะด้านการเงินและการจัดการความเสี่ยงแถวหน้าของโลก โดยในรายงานพบว่า ณ สิ้นปี 2564 สินทรัพย์ของระบบการเงินอิสลามรวมทั่วโลกมีมากถึง 137 ล้านล้านบาท มีอัตราการเติบโตของสินทรัพย์ แม้ภายหลังประสบปัญหาเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ร้อยละ 17 และมีจำนวนสถาบันที่ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน รวมกว่า 1,650 แห่งทั่วโลก โดยสินทรัพย์รวมของระบบการเงินอิสลาม มีสินทรัพย์ที่มาจากภาคธนาคารอิสลามมากที่สุดถึงร้อยละ 70 รองลงมา คือ ศุกูกหรือพันธบัตรอิสลาม ร้อยละ 18 และกองทุนอิสลามที่ร้อยละ 6 และสำหรับสินทรัพย์จากภาคธนาคารอิสลาม รวมทั่วโลกแล้วมีทั้งสิ้นราว 96 ล้านล้านบาท มีอัตราการเติบโตของสินทรัพย์ธนาคารอิสลามรวม ร้อยละ 17 หรือเท่ากับการเติบโตในภาพรวมของการเงินอิสลามทั้งระบบ และมีจำนวนธนาคารอิสลาม ณ ปี 2564 รวม 566 แห่งทั่วโลก ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ระบบการเงินอิสลามในประเทศไทยยังมีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก โดยเมื่อช่วงต้นปี ก.ล.ต. ก็อยู่ระหว่างปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดตั้งกองทุนรวมอิสลาม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนมุสลิมว่า การลงทุนในกองทุนรวมที่มีอยู่ในประเทศไทยเป็นไปตามหลักศาสนาอิสลาม สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันตะกาฟุลในประเทศไทย ก็ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจาก คปภ. ในการพัฒนาขอบเขตการให้บริการ ที่สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของตลาด นอกจากนี้การฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศซาอุดิอาระเบีย ยังเสริมสร้างโอกาสในการเชื่อมโยงการค้า การลงทุน กับระบบการเงินอิสลามชั้นนำในต่างประเทศ และ จากการวางทิศทางและตั้งเป้าหมายที่กล่าวมา เชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือร่วมใจของทีมงานไอแบงก์ทั้งหมด จะทำให้ในปี 2566 ธนาคารสามารถมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับการสร้างสรรค์สังคมอย่างยั่งยืน ดร.ทวีลาภ กล่าวสรุปตอนท้าย