นักวิชาการ มธ. ปลุกกดดัน ส.ว. ยอมรับพรรคที่ได้อันดับ 1 เป็นแกนำตั้งรัฐบาล

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

นักวิชาการ ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำฯ คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. หนุนรัฐสวัสดิการ ย้ำต้องรื้อมรดกบางประการจากรัฐบาลเก่า ประชาชนต้องกดดัน ส.ว. ให้ยอมรับพรรคที่ถูกเลือกมาอย่างถูกต้อง เปิดเสถียรภาพการทำงาน

วันที่ 18 เม.ย.2566 ผศ.ดร.ธร ปีติดล ผอ.ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม คณะเศรษฐศาสตร์ (CRISP) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า นโยบายที่พรรคการเมืองใช้หาเสียงอยู่ขณะนี้ ส่วนใหญ่เน้นด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับผลกระทบหนักจากวิกฤตโควิด-19 เป็นเหตุให้พรรคต่างๆ พยายามเสนอนโยบายเรื่องปากท้อง ซึ่งประชาชนจับต้องได้ที่สุด

นโยบายด้านสวัสดิการ ที่พรรคการเมืองใช้หาเสียงอยู่ขณะนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นที่การสร้างระบบบำนาญสำหรับผู้สูงอายุ และยังมีนโยบายอื่นๆ อีก เช่น เงินช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย นโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อยกระดับรายได้ของคนทั่วประเทศ ซึ่งส่วนตัวอยากเสนอว่า นโยบายเหล่านี้ไม่ใช่แค่ต้องทำให้ครอบคลุมเท่านั้น แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับมิติเชิงคุณภาพของนโยบาย และควรบริหารจัดการอย่างเป็นระบบด้วย

การใช้งบประมาณเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ถือเป็นเรื่องปกติของการจัดทำนโยบาย แต่ประเด็นที่ต้องตั้งคำถามคือ สุดท้ายจะใช้ได้มากเพียงใด แนวทางการจัดสรรเงินให้นโยบายต่างๆ เหมาะสมหรือไม่ ถึงแม้นโยบายของแต่ละพรรคจะมีการแข่งขันกันโดยมีจำนวนเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่คงไม่สามารถเหมารวมว่า ทุกนโยบายเป็น ‘ประชานิยม’ ได้ โดยเฉพาะนโยบายที่เน้นการพัฒนาระบบสวัสดิการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน

“นโยบายที่ช่วยขยายระบบสวัสดิการของรัฐเป็นสิ่งที่ดี เพราะหากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในระดับสากลแล้ว ไทยยังลงทุนเรื่องสวัสดิการค่อนข้างน้อย และยังมีนโยบายที่ทำได้อีกหลายรูปแบบ ที่สำคัญคือปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ มีสัดส่วนของผู้สูงอายุที่ยากจนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก จึงจำเป็นต้องมีสวัสดิการมารองรับ” ผศ.ดร.ธร กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายที่อยากให้พรรคการเมืองควรดำเนินการ เช่น นโยบายเรื่องการจำกัดอำนาจของทุนผูกขาด รวมถึงการทำให้ค่าแรงเหมาะสมทันตามค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา การเพิ่มการดูแลเด็กเล็กที่ขาดโอกาส ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้

ผอ.ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม กล่าวว่า พรรคที่ชนะการเลือกตั้ง ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนสูงที่สุด ยังต้องเผชิญกับด่านต่อไปในการทำนโยบายให้ออกมาได้จริง ได้แก่ 1.งบประมาณ ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับการทำได้ครบทุกนโยบายตามที่หาเสียงไว้ 2.ระบบราชการและการเมือง โดยเฉพาะระบบเลือกตั้ง จากการที่มี ส.ว.จำนวน 250 คน มีสิทธิ์เลือกนายกรัฐมนตรี จนทำให้เกิดความไม่แน่นอน เพราะพรรคที่ชนะเลือกตั้งอาจจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

“อันดับแรกคือ เราต้องช่วยกันกดดัน ส.ว. ให้มากที่สุด ถ้าพรรคการเมืองที่ประชาชนเลือกมาได้อันดับ 1 ชัดเจนแล้วต้องการจัดตั้งรัฐบาล ส.ว.ไม่ควรมีบทบาทไปสนับสนุนคนจากพรรคอื่นเข้ามาแทน เรื่องนี้ผมว่าเป็นหลักการสำคัญ แล้วยังมีปัญหาที่ควรตระหนักอีกว่า กรณีหากมีการเลือกนายกฯ ที่เป็นเสียงข้างน้อยขึ้นมา ก็จะมีปัญหาทางเสถียรภาพของรัฐบาลมากๆ และอาจกลายเป็นวิกฤตการเมืองที่ต้องไปแก้กันนอกระบบอีก ส่งผลให้ประเทศเกิดปัญหาทางการเมืองไม่จบสิ้น”

ผศ.ดร.ธร กล่าวว่า หนทางของการปรับปรุงทิศทางนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศหลังจากนี้ ในกรณีที่ได้รัฐบาลใหม่ อาจต้องเริ่มจากการรื้อมรดกบางประการจากรัฐบาลเก่า โดยเฉพาะข้อผูกมัดในหลายรูปแบบที่รัฐบาลเดิมวางไว้ มิฉะนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้ถึงได้รัฐบาลใหม่มา ก็อาจยังเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มากในระยะสั้น เพราะยังมีกลไกที่ถูกวางเอาไว้ที่ไม่เอื้อให้พรรครัฐบาลใหม่สามารถบริหารจัดการทุกอย่างได้ง่าย