มหัศจรรย์ตรงไหน! ‘อนุทิน’ พลิ้วแจงร่วมมื้อกลางวัน ‘บิ๊กป้อม’ ไม่แปลก ถ้ากับ ‘เพื่อไทย’ ค่อยตื่นเต้นหน่อย ปัดปล่อยภาพขู่คู่แข่ง ยันพร้อมร่วมทุกวงอาหาร กางตัวเลข ‘ส.ส.ภูมิใจไทย’ ต้อง70 อัพ ระบุเงื่อนไขร่วมรบ.ครั้งหน้า ‘กม.กัญชา’ ต้องฉลุย เมิน ‘ชูวิทย์’ ยื่น ‘กกต.’ ยุบพรรค ขอเอาเวลาไปหาเสียง
วันที่ 16มี.ค.2566 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “ลึกจากสนามข่าว” ทางFM 96.0 เมื่อช่วงค่ำวันที่15มี.ค.ที่ผ่านมา กรณีปรากฎภาพพร้อมแกนนำพรรคภูมิใจไทย ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกลางวันกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อย่างชื่นมื่นว่า ไม่ได้มีนัยยะทางการเมือง แต่เป็นการนัดกันล่วงหน้านานแล้ว ตั้งแต่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรค เดินทางไปพบกับ พล.อ.ประวิตร ในช่วงที่ลงพื้นที่ตรวจราชการที่จ.นครสวรรค์ และเห็นว่าไม่ได้กินข้าวกับ พล.อ.ประวิตรนานแล้ว ตนจึงได้โทรศัพท์ไปย้ำนัดกันอีกครั้ง ก่อนพบว่ามีเวลาตรงกัน ตนพร้อมคณะจึงได้เข้าไปพบ พล.อ.ประวิตร และร่วมพูดคุยถึงสถานการณ์การเมือง แลกเปลี่ยนความพร้อมของทั้งสองพรรคในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ซึ่งพล.อ.ประวิตรก็สอบถามถึงการประเมินตัวเลข ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ตนก็แจ้งว่าน่าจะได้ประมาณ 70 คน ซึ่งท่านก็เห็นว่า ตรงกับผลโพลล์ที่ออกมา พร้อมปฏิเสธพูดคุยถึงการจับขั้วการเมืองใหม่ เพราะปัจจุบันทั้งพรรคภูมิใจไทยกับพรรคพลังประชารัฐเป็นขั้วเดียวกัน คือ ขั้วรัฐบาลอยู่แล้ว
“ผมไปกินข้าวกับผู้จัดการรัฐบาลมันมหัศจรรย์ตรงไหนหรอ ถ้าไปกินข้าวกับพรรคเพื่อไทยค่อยตื่นเต้นกันหน่อย การนัดกินข้าวร่วมกันของนักการเมืองในช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการนำภาพที่ผมไปกินข้าวเที่ยงกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในช่วงที่ถูกเว้นวรรคปฏิบัติหน้าที่ ไปวิพากษ์วิจารณ์ แต่ผมเห็นว่าทางการเมืองเราสามารถพบปะพูดคุยกันได้ วันนี้ผมโทรไปนัดใคร หรือใครโทรมานัดผมกินข้าว ผมไปหมด หัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะเชิญพรรคร่วมรัฐบาลไปกินข้าว ผมคิดว่าก็ต้องไปนะ เพราะการนัดกินข้าวก็ไม่ใช่ว่าจะต้องร่วมหัวจมท้ายกัน” นายอนุทิน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดจึงต้องนัดกินข้าวกันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง นายอนุทิน กล่าวว่า ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึง 10 วัน วาระของรัฐบาลชุดนี้ก็จะหมดลงในวันที่ 23 มีนาคมนี้ ซึ่งวันนั้นทุกพรรคเท่ากัน ไม่มีฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านแล้ว เพียงแต่คณะรัฐมนตรียังคงต้องรักษาการไปจนกว่าจะได้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่
เมื่อถามว่า มีการตีความว่าทั้งสองพรรคปล่อยภาพออกมาเพื่อหวังข่มขู่พรรคการเมืองคู่แข่ง นายอนุทิน กล่าวว่า อย่ามองโลกในแง่ร้าย ไม่การขู่หรือระแวงกัน เพราะระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาหากมีการข่มขู่กัน คงอยู่ร่วมกันไม่ได้มาถึงทุกวันนี้ ยอมรับว่าอาจจะมีความเห็นต่างกันบ้าง แต่ก็ยอมรับในกติกา ซึ่งส่วนตัวคิดว่าบรรยากาศทางการเมืองดีขึ้น ไม่ได้มีความตึงเครียดเหมือนที่สื่อประเมินกันไว้ พร้อมระบุว่า หากครั้งหน้าพรรคภูมิใจไทยได้มีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาล เงื่อนไขแรกคือ การบอกพรรคร่วมรัฐบาลว่าร่างกฎหมายกัญชาต้องผ่าน เพราะเป็นประโยชน์กับประชาชน เรามีช่องทางที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
นายอนุทิน ยังกล่าวถึงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เตรียมยื่นคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ให้ยุบพรรคภูมิใจไทย กรณีการใช้นอมินีเข้ามารับงานประมูลในกระทรวงที่ตนเองกำกับดูแล และขอให้มีการยุบพรรคก่อนเลือกตั้งว่า ทุกคนในฐานะประชาชนมีสิทธิ์ที่ทำได้ ซึ่งผู้ที่ถูกกล่าวหาก็มีหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริง และหากชี้แจงไม่ได้หรือทำผิดกฎหมายก็ต้องยอมรับชะตากรรมไป ตรงกันข้ามผู้ที่กล่าวหา หากมีเจตนามุ่งทำลาย และไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวหา ก็เสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี ซึ่งส่วนตัวยังมั่นใจบนพื้นฐานว่าไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่เคยคิดว่าใครอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ แม้ว่าคอการเมืองจะมีการพูดด้วยซ้ำว่าใครอยู่เบื้องหลัง เพราะพรรคภูมิใจไทยมีจุดหมายที่ใหญ่กว่าจะต้องทำ คือ การหาเสียงเลือกตั้งให้ดีที่สุด หากมัวไปตอบโต้ก็มีแต่จะเสียงคะแนนลงไป.