“สมศักดิ์” ฟิตจัด! ลุยร่วมงาน มอบนโยบายผู้ไกล่เกลี่ย รุ่น47 ขอช่วยสังคมลดขัดแย้ง

รมว.ยุติธรรม ลุยเชียงใหม่ ฟิตจัดร่วม 3 งานรวด มอบนโยบายผู้ไกล่เกลี่ย รุ่น 47 ขอให้นำความรู้ไปช่วยสังคมลดความขัดแย้ง พร้อมสร้างการรับรู้ กม.ยาเสพติด ชวนคนร่วมแจ้งเบาะแส เผยตั้งนิคมราชทัณฑ์สร้างอาชีพลดคนทำผิดซ้ำ แก้อีกสาเหตุคนค้ายา

วันที่ 3 ก.พ. 2566 เวลา 09.00 น. ที่โรงแรมคุ้มภูคำ จ.เชียงใหม่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม มอบนโยบายในการฝึกอบรมหลักสูตรการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตาม พ.ร.บ.การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 รุ่นที่ 47 โดยมี นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ผอ.สำนักงานยุติธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ผอ.กองส่งเสริมการระงับข้อพิพาท คณะวิทยากร และผู้เข้ารับการฝึกอบรม 50 คน เข้าร่วมนายสมศักดิ์ กล่าวว่า การอบรมในครั้งนี้ มีผู้เข้ารับการอบรม 50  คน จาก 16 จังหวัด ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่ เชียงราย น่าน ลำพูน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร ตาก พะเยา พิจิตร เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย และ อุทัยธานี ซึ่งในการฝึกอบรม มีการบรรยาย กฎหมาย ทักษะที่จำเป็นและเทคนิคในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท รวมทั้งการจัดกิจกรรมกลุ่มฝึกปฏิบัติและฝึกไกล่เกลี่ยขอพิพาทในสถานการณ์จำลองด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะการไกล่เกลี่ยเป็นงานในกระบวนการยุติธรรมที่ช่วยผู้คน ซึ่งการไกล่เกลี่ยต้องมีความพร้อมทั้งสองฝ่าย ต้องเข้าใจบริบทผู้คนที่อยากจบปัญหาแต่หาเวทีไม่ได้ ซึ่งการไกล่เกลี่ยต้องใช้ความอดทน เพราะบางคนก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดทั้งหมด ดังนั้นพวกเราที่เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้คือ ผู้เสียสละ ต้องอดทนเข้าใจคน และต้องเจอปัญหา แต่เราจะไปโมโหไม่ได้นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตอนนี้มีคนขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยทั่วประเทศ 3,808 คน มีศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 1,214 แห่ง ซึ่งการทำงานในปีที่ผ่านมาเราช่วยไปแล้ว 1 แสนครอบครัว ทำให้ปริมาณคดีขึ้นสู่ศาลลดน้อยลง กว่า 49,935 เรื่อง ลดปัญหาความขัดแย้ง เกิดความสมานฉันท์ขึ้นในสังคม และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายประชาชน คือ ค่าทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล กว่า 6,483 ล้านบาท ดังนั้น เราจะเห็นว่าเราสามารถแก้ปัญหา ลดความร้อนแรงวุ่นวายของคนในสังคมได้ส่วนหนึ่ง วันนี้หลายหน่วยงานยังแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ได้เข้าใจศาสตร์พระราชา เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เรานั้นเราต้องคิดถึงต้นเหตุ การแก้หนี้ ไกล่เกลี่ยปัญหาความลำบากของประชาชน ที่เป็นสาเหตุของความยากจน เราทำแล้วแต่อยู่ที่พวกเขาจะกลับไปทำงานเลี้ยงตัวเองต่อไปหรือไม่จากนั้นเวลา 10.00 น. นายสมศักดิ์ เดินทางไปยังอุทยานราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่ เพื่อเป็นประธานเปิดโครงการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด รองรับประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายสว่าง ธาตุอินทร์จันทร์ ประธานเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดิน จ.เชียงใหม่ ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครชุมชน อสม. และสมาชิกกองทุนแม่ของแผ่นดินกว่า 1,250 คน เข้าร่วมงานนายสมศักดิ์ กล่าวว่า จ.เชียงใหม่ถือเป็นเมืองหลวงของภาคเหนือ มีประชากรมากที่สุดของภาคและมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ และมีเขตติดต่อกับชายแดนเพื่อนบ้านที่เป็นแหล่งผลิตยาเสพติดอย่างสามเหลี่ยมทองคำ ดังนั้นเราต้องสร้างการรับรู้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ โดย ป.ป.ส. ได้บูรณาการร่วมกับ 27 หน่วยงาน เช่น กระทรวงกลาโหม , กระทรวงมหาดไทย , สำนักงานตำรวจแห่งชาติ , กระทรวงศึกษาธิการ , กระทรวงสาธารณสุข , และหน่วยงานจากต่างประเทศ เช่น UNODC และประเทศกลุ่มแม่น้ำโขง นอกจากนี้กระทรวงยุติธรรมยังมีโครงการสร้างนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เพื่อทำให้ผู้พ้นโทษมีงานทำ เพราะกว่า 80% ของผู้ต้องขังมาจากคดียาเสพติด ดังนั้นเมื่อพวกเขาพ้นโทษออกมา มีงานทำ ก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีก ถือเป็นอีกการแก้ปัญหาของอีกต้นเหตุหนึ่ง“กฎหมายฉบับใหม่ ยังให้รางวัลนำจับกับผู้แจ้งเบาะแส 5% ขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชน ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ในการแจ้งเบาะแสยาเสพติด ผ่านสายด่วน 1386 และระบบบล็อคเชน ในการแจ้งแบบไม่เปิดเผยตัวตน และกระทรวงยุติธรรม ยังได้ผลักดันกฎหมายป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ จนสามารถมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งก็จะมีการนำมาเฝ้าระวังกับผู้ที่ก่อเหตุรุนแรง โดยเฉพาะผู้ที่ติดยาเสพติด แล้วก่อเหตุสะเทือนขวัญ ซึ่งจะมีการใส่กำไลอีเอ็ม เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้ไปก่อเหตุซ้ำ นอกจากนี้ ผมก็กำลังผลักดันกฎหมายช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร โดยสัตว์ที่สามารถจัดการแข่งขันได้ ก็จะมีการช่วยยกระดับ สร้างมูลค่าให้สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้กับพี่น้องเกษตรกร” นายสมศักดิ์ กล่าวต่อมาเวลา 11.30 น. นายสมศักดิ์ ได้ร่วมงาน การขายทอดตลาดทรัพย์สินคดียาเสพติด โดยสำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 5 มีทรัพย์สิน 183 รายการ อาทิ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทองรูปพรรณ และวัตถุมงคล มูลค่ารวม 91 ล้านบาท โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลจำนวนมาก ซึ่งเงินจากการประมูลจะเข้าสู่กองทุนยาเสพติด เพื่อนำไปใช้ในการป้องกัน ปราบปรามและบำบัดยาเสพติดต่อไป.