ตีแผ่ จ.ม.เปิดใจ “บิ๊กป้อม” ตีแสกหน้า “น้องตู่” ว่าด้วยตำนาน “3ป. Forever”

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. ได้ออกมาเขียนจดหมายเปิดใจความรู้สึกในฐานะ “พี่ใหญ่” พี่น้องสามป. ถึงบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อการจัดบิ๊กอีเวนท์ เปิดตัวร่วมงานการเมืองกับพรรค รทสช. พร้อมย้อนตำนาน 3ป. Foreever จุดประเด็นร้อนทางการเมือง ให้หลายฝ่ายต้องติดตาม

จู่ๆ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “พี่ใหญ่สุด” ของ พี่น้อง 3ป. ได้อกมา เขียนจดหมาย เปิดใจ ตีแสกหน้าใครบางคนอย่างจัง !

หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จัดงานเปิดตัว เข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคร่วมไทยสร้างชาติ (รสทช.) อย่างเป็นทางการในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียวของพรรค

บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างหรูหรา สุดอลังการ มีนักการเมืองระดับ “บิ๊กเนม” และผู้คนเข้าร่วมงานคับคั่ง ภาพ “บิ๊กตู่” ชูกำปั้นบนเวที พร้อมประกาศก้องจะขอเป็นผู้นำให้ประเทศไทยต้องไปต่อ เพื่อพี่น้องประชาชน สะท้อนภาพความเป็น “นักการเมือง” เต็มตัวย้อนกลับมาดูรายละเอียดภายใน จดหมายเปิดใจของ “พล.อ.ประวิตร” อ่านด้วยความพินิจ พิจารณา ไล่ตั้งแต่เบื้องหลัง คสช. ยึดอำนาจรัฐประหาร ที่ “บิ๊กป้อม” บอกไม่รู้เรื่อง แต่ต้องตกกระไดพลอยโจน ยอมรับตรงๆ ว่า ทำให้เศรษฐกิจเสียหาย เพราะทหารไม่รู้เรื่องการบริหารประเทศ และยืนยันตนเองไม่รู้เรื่องการปฏิวัติในครั้งนี้มาก่อน

“ขณะนั้น ผมเกษียณอายุราชการจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. ไปตั้งแต่ พ.ศ. 2548 จึงทำได้เพียงเฝ้าติดตามสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จัดตั้งรัฐบาลเพื่อปฏิรูปบ้านเมืองและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมก็ได้ตอบรับเข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เพื่อหวังจะช่วยประคับประคองสถานการณ์ให้คืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว”

“ต้องยอมรับความจริงว่า คสช. ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านการเมือง เพราะต่างก็เป็นทหารอาชีพมาทั้งชีวิต ฝึกฝนเรียนรู้มาในด้านการปกป้องอธิปไตยของชาติ ตัวผมเองก็เช่นกัน แม้จะเคยเป็น รมว.กลาโหม ในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการเมือง จึงทำได้เพียงช่วยดูแลเหล่าทัพให้มีเสถียรภาพเท่านั้น”“ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากประชาชนให้รีบจัดการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลในขณะนั้นก็ตระหนักดีถึงความต้องการของประชาชน และความชอบธรรมของรัฐบาลจากการเลือกตั้ง รวมไปถึงการยอมรับจากประชาคมโลก จึงเร่งผลักดันกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว”

“เมื่อกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น เตรียมพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ ก็แสดงความประสงค์จะทำงานการเมือง โดยอ้างว่า เพื่อสานต่อภารกิจที่ดำเนินการไว้ให้สำเร็จ ผมจึงตัดสินใจสนับสนุนให้มีการตั้งพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งและเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ให้กลับมาเป็นนายกฯ ตามที่เจ้าตัวปรารถนา”

“ในช่วงเวลาของการเป็นแกนนำรัฐบาล มีทั้งเรื่องที่ผมเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจใน ครม. แต่จำเป็นต้องสงวนท่าที ตามมารยาททางการเมือง ประกอบกับยังไม่มีอะไรชัดเจนว่ามติในเรื่องใดๆ จะก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นกับบ้านเมือง”

“มาบัดนี้ ชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ แสดงจุดยืนทางการเมือง เมื่อวันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 ว่า จะแยกทางจากพรรคพลังประชารัฐ ที่เคยสนับสนุนขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ตรงกับที่สื่อมวลชนไปสืบข่าวมาก่อนหน้านี้ ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นพรรคสำรองให้กับ พล.อ.ประยุทธ์”

“ผมเคยกล่าวไว้ว่า 3 ป. Forever มาวันนี้ ผมก็ยังมีความรู้สึกเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในเมื่อท่านตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ผมก็ไม่สามารถจะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ คงจะบอกได้เพียงว่า ผมขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย ขอให้ประสบความสำเร็จบนเส้นทางการเมืองใหม่ที่ท่านได้ตัดสินใจเลือกแล้ว”“สำหรับผม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขอประกาศในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะขอรับผิดชอบและจะไม่มีวันทอดทิ้งสมาชิกพรรคทุกคน ที่เคยทำงานการเมืองมาด้วยกัน และพร้อมจะเดินนำทุกคนที่มีความเชื่อมั่นในความตั้งใจอันแน่วแน่ของผม เข้าสู่การเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป เพื่อกลับมาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารบ้านเมืองอีกครั้ง”

ทั้งหมด เป็นบางช่วงบางตอน สะท้อนความในใจ “บิ๊กป้อม” อย่างหมดเปลือก และดูจะเป็นความอัดอั้นตันใจของ “ทหารเฒ่า” สะท้อนความแตกแยกพี่น้อง 3ป. ชัดเจน ดังนั้น คำว่า “3ป. Forever” ที่ พล.อ.ประวิตร ระบุ คงไม่น่าใช่อีกต่อไป ?

แน่นอนที่สุด สื่อต้องนำประเด็นจดหมายเปิดใจฉบับนี้ ไปถามความเห็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งก็เป็นไปตามคาดหมาย “บิ๊กตู่” ถึงกับระเบิดอารมณ์ กราดเกรี้ยว ใช้คำพูดรุนแรง เสียงดัง “ทำไมต้องไปรื้อฟื้นเรื่องในอดีต พร้อมยืนยัน “3ป.Forever” ยังคงเป็นตำนาน

เมื่อถามว่า ทุกเช้าจะไปร่วมทานกาแฟกันที่บ้านป่ารอยต่อฯ ทุกวันนี้ยังไปหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบอย่างหงุดหงิดว่า “ถ้ามีเวลาก็ไป เวลาผมก็มี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะว่างไปทุกที่ ทุกวันเมื่อไหร่ ผมก็มีงานของผม ว่างเมื่อไหร่ก็ไป ผมอยู่กับท่านมา 40-50 ปีแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องไปวันนี้หรอก ร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบกันมาแล้ว ชายแดนก็อยู่มาด้วยกันแล้ว อะไรกันนักหนา ไม่เข้าใจทำไมต้องถามทุกอย่าง” บิ๊กตู่ กล่าวด้วยความไม่พอใจ ต่อคำถามที่ตนคิดว่าสื่อทำเพื่อเสี้ยมให้ พี่น้อง 3ป. แตกแยกกัน

และมีหรือ ที่ประเด็นร้อนทางการเมืองอย่างนี้ ฝ่ายค้านจะไม่รีบคว้ามาขยายผล ตอกลิ่มโดย อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย ตั้งคำถามว่า“ไม่รู้ว่า พล.อ.ประวิตร เขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยเลือดหรือน้ำตา การบอกว่า ไม่สามารถจะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ หลังรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ แสดงจุดยืนทางการเมืองไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ สะท้อนความกระอักกระอ่วนใจจนสุดจะบรรยาย คิดไม่ถึงว่าอดีตลูกน้องที่เคยฟูมฟักตั้งแต่เป็นทหารเด็กๆ จะทำกับพี่ใหญ่ 3ป. ได้ถึงเพียงนี้ การบอกว่า 3ป. Forever ไม่แน่ใจว่า หมายถึง 3ป.จากกันตลอดไป หรือทิ้งให้ 3 ป. เหลือแค่ตำนานตลอดไป โดยไม่มีใครทำอะไรเพิ่มเติม”

“จดหมาย พล.อ.ประวิตร ยิ่งกว่าเปลือยตัวตนของ พล.อ.ประยุทธ์ จนล่อนจ้อน ว่าเป็นคนเช่นไร มักใหญ่ใฝ่สูงเพียงไร และยืนยันคำซัดทอดครั้งก่อน อีกครั้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ วางแผนยึดอำนาจรัฐประหารจากรัฐบาลเลือกตั้งของประชาชนเพียงคนเดียว พล.อ.ประวิตร ไม่เกี่ยว คสช. ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาลสืบทอดอำนาจ หลังจากนั้น ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านการเมือง การบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล พล.อ.ประวิตร ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เหตุที่ พล.อ.ประวิตร ต้องอยู่พรรคพลังประชารัฐต่อไป เพราะมีคนไร้ความรับผิดชอบ ชิ่งหนีตาย แอบวางแผนกระโดดไปอยู่พรรคการเมืองใหม่ โดยไร้ความรับผิดชอบและไม่เคารพต่อประชาชนที่เคยเลือก”

“การเขียนชัดขนาดนี้ เป็นการตีแสกหน้ากระแทกกลางใจคนไร้ความรับผิด ถ้า พล.อ.ประวิตร ไม่เหลืออด ไม่เจ็บปวดจนสุดจะบรรยาย คงไม่เขียนจดหมายจัดหนัก พล.อ.ประยุทธ์ ถึงเพียงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำกับอดีตนายทหารรุ่นพี่ ผู้มีพระคุณที่คอยสนับสนุนได้ถึงเพียงนี้ การไปร่วมกับเครือข่ายนกหวีดชัตดาวน์ประเทศ สถานีต่อไปจะจบอย่างไร ให้ทีมรวมดาว กปปส. ไปศึกษาจดหมายเปิดใจของ พล.อ.ประวิตร ให้ดีก็แล้วกัน”ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ระบุว่า นี่คงเป็นพล็อตละครน้ำเน่า ตีหน้าเศร้าเล่าความหลัง ที่คิดจะดึงคะแนนสงสาร คะแนนความเห็นอกเห็นใจจากฐานแฟนคลับได้ แต่หารู้ไม่ ประชาชนเขาเอือมระอากันทั้งประเทศ นาทีนี้ จินตนาการไม่ออกว่า หากนายกรัฐมนตรีประเทศไทย เป็นประยุทธ์หรือประวิตร อนาคตประเทศจะหดหู่ ไม่นึกถึงคนที่เคยส่งเสริมช่วยเหลือ ขนาดพรรคที่นำพาตัวเองมาเป็นนายกรัฐมนตรี พอหมดเวลาก็ถีบส่งอย่างไร้เยื่อใย สุดท้ายแล้ว จดหมายเปิดใจหรือบอกรัก ของ พล.อ.ประวิตร ช่วงที่ตัวเองใกล้หมดอายุฉบับนี้ คงพิสูจน์อะไรไม่ได้ เป็นแค่หมากตัวหนึ่ง ที่ทีมหาเสียงเสนอให้ทำในช่วงใกล้เลือก เพราะสุดท้ายแล้วผู้มีอำนาจทั้งหลายก็ไม่มีใครคายอำนาจสักคน ดังนั้นเลิกตีหน้าเศร้า เอาเวลาไปเตรียมแผนเลือกตั้งดีกว่า เพราะเชื่อเหลือเกินว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ว่าจะพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ จะไม่ได้กลับมาอีก จะถูกลงโทษจากประชาชนในคูหาเลือกตั้งแน่นอน

อย่างไรก็ตาม โพลสำนักต่างๆ ย่อมนำประเด็นร้อนไปขยายผล ตั้งหัวข้อประเด็นคำถาม สอบถามความรู้สึกประชาชน โดย นิด้าโพล สำรวจความเห็นประชาชน เมื่อ วันที่ 11 ธ.ค.2565 ตั้งประเด็น พรรคการเมืองที่จะได้รับคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งครั้งหน้า คือ เพื่อไทย 32.44% ก้าวไกล 11.00% พลังประชารัฐ 10.76 % รวมไทยสร้างชาติ 5.73 % ภูมิใจไทย 4.96% และ ประชาธิปัตย์ 4.58%

ขณะที่ ซูเปอร์โพล สำรวจความเห็นประชาชน ระหว่างวันที่ 7-10 ธ.ค. 2565 ใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง อันดับ 1 อนุทิน ชาญวีรกูล 47.8% อันดับ 2 แพทองธาร ชินวัตร 44.9% อันดับ 3 จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ 44.4% อันดับ 4พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 17.2% และอันดับ 5 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 14.5%

ดร.นพดล กรรณิการ์ ผอ.ซูเปอร์โพล ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคะแนนนิยมลดลง ตกไปอยู่อันดับท้าย ๆ ของตารางผลสำรวจครั้งนี้ น่าจะมาจากความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชนเรื่องปัญหาปากท้อง รายได้ ค่าครองชีพ อาชีพการงาน ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันนี้อาจจะมีจุดอ่อนด้านทีมเศรษฐกิจ และปัญหาขัดแย้งแยกทางกันเดินระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทำให้แฟนคลับผิดหวัง พลังสนับสนุนอ่อนลงบวกกับภาพลักษณ์ของแกนนำพรรคพลังประชารัฐ และความไม่ชัดเจน ไม่เข้มแข็งเพียงพอของ 3 ป. ปล่อยปละละเลยไม่สะสางปัญหาที่กระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน ผลที่ตามมาคือ ประชาชนส่วนใหญ่กำลังมองหาผู้นำประเทศคนใหม่ที่เป็นความหวังและเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาปากท้อง

สุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไร “บิ๊กตู่” จะก้าวผงาดขึ้นเป็นนายกฯ คนต่อไปอีกครั้งได้หรือไม่ ความสัมพันธ์ “3ป. Forever” ของพี่น้องสาม ป. จะอยู่ยงนิรันดร์ เป็นตำนานหรือไม่ ท่ามกลางแข่งขันทางการเมือง ระหว่าง พปชร. และ รทสช. ที่ก่อนนี้ ดูเหมือนจะเป็นการ “แยกกันเดิน รวมกันตี” หรือว่าจะเป็น “การแยกทางตลอดไป”